ทัวร์ทิเบต
ทัวร์
เอเชีย
ระยะเวลา
8 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
13-20 ต.ค.2563 / 10-17 พ.ย. 2563
Hilight

ทิเบต..หลังคาโลก ดินแดนแห่งกงล้อมนตราอันศักดิ์สิทธิ์
สัมผัสบรรยากาศการนั่งรถไฟท่องเที่ยวบนเส้นทางที่สูงที่สุดในโลก
ชมเทือกเขาคุนลุ้นและดินแดนที่ธรรมชาติสรรค์สร้างเสมือนแดนสวรรค์บนดิน
สำหรับทางรถไฟสายทิเบต-ชิงไห่ ซึ่งเป็นเส้นทางรถไฟบนที่ราบสูงที่สูงที่สุดและยาว 1,142 กิโลเมตร ได้วางรางแล้วเสร็จเมื่อเดือนตุลาคมในปีพ.ศ. 2548 และเริ่มทดลองใช้ในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2549 ที่ผ่านมาประสบความสำเร็จด้วยดี โดยเส้นทางดังกล่าวเริ่มต้น จากเมืองซีหนิง (เมืองเอกมณฑลชิงไห่) ถึงเมืองลาซา (เมืองเอกเขตปกครองตนเองทิเบต) โดยส่วนหนึ่งของเส้นทางที่มีความยาวราว 960 กิโลเมตรได้สร้างอยู่บนความสูงมากกว่า 4,000 เมตรจนถึงสูงสุด 5,072 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ทำลายสถิติเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในเปรู มาเป็นเส้นทางที่สูงที่สุดในโลก ที่ส่วนใหญ่เป็นเขตที่ไม่มีผู้คนอาศัยและอากาศหนาวเย็น

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพ - เฉิงตู - เมืองโบราณหวงหลงซี - ซีหนิง
    • 07.00 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ  อาคารผู้โดยสารขาออก ชั้น 4 ประตู 5 เคาน์เตอร์ H - J สายการบินไทย เพื่อทำการเช็คอินและโหลดกระเป๋าสัมภาระให้เรียบร้อยก่อนการเดินทาง 
      10.15 น. เหินฟ้าสู่เมือง เฉิงตู ประเทศจีน โดยเที่ยวบิน TG618 (10.15-14.25)  (อาหารกลางวันบนเครื่องบิน)
      14.25 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติเฉิงตูชวงหลิว เมืองเฉิงตู เมืองหลวงของมณฑลเสฉวน  
      หลังผ่านพิธีการตรวจคนเข้าเมืองและศุลกากรแล้ว พบมัคคุเทศก์ท้องถิ่นรอต้อนรับ นำท่านเดินทางไปชม เมืองโบราณหวงหลงซี เมืองเก่าแก่ที่รัฐบาลจีนใช้เงินลงทุนเพื่อการอนุรักษ์และปรับปรุงพื้นที่กว่า 300 ล้านหยวน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ตั้งอยู่ริมแม่น้ำหวงหลง ปัจจุบันอาคารบ้านเรือน โรงน้ำชา และวัดเก่ายังคงรักษาไว้ตามรูปแบบดั้งเดิม ที่นี่ได้ถูกพัฒนาถือเป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเฉินตู และเป็นสถานที่ในการถ่ายทำภาพยนตร์ของจีนอีกด้วย
       เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      18.15 น. นำท่านเดินทางสู่ สนามบินเฉิงตู อาคารโดยสารภายในประเทศ เพื่อเดินทางไปยังเมืองซีหนิง 
      20.25 น. เหินฟ้าสู่เมือง ซีหนิง โดยสายการบินแอร์ไชน่า เที่ยวบิน CA4205 (20.25-22.15)
      22.15 น.      เดินทางถึงเมืองซีหนิง หลังจากรับกระเป๋าสัมภาระแล้วเดินทางไปยังโรงแรมที่พัก 
      เข้าพักที่โรงแรม SOFITEL HOTEL 5* , XINING หรือเทียบเท่า
  • Day 2
    วัดถ่าเอ๋อร์ - ขึ้นรถไฟ - ที่ราบสูงชิงไห่ - เก๋อเอ๋อร์มู่
    • 07.30 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม  
      08.30 น.  เช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม พร้อมกระเป๋าสัมภาระโดยพร้อมเพรียง
      ซีหนิง อยู่ในเขตเชื่อมต่อระหว่างที่ราบสูงหวงถู่ (ที่ราบสูงดินเหลือง) 
      กับที่ราบสูงชิงจั้ง (ที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบต) ระหว่างเขตการเกษตรกับเขตปศุสัตว์ 
      และระหว่างวัฒนธรรมฮั่นกับวัฒนธรรมทิเบต เป็นเมืองศูนย์กลางเพียงแห่งเดียวในที่ราบสูงชิงไห่-ทิเบตที่มีจำนวนประชากรเกินกว่า 1 ล้านคน ซึ่งประกอบด้วย 34 ชนเผ่า เช่น ชนเผ่าฮั่น หุย ทิเบต ถู่ มองโกล และซ่าลา ฯลฯ ขณะเดียวกัน ซีหนิงเป็นจุดที่ต้องแวะผ่านใน "เส้นทางสายไหม" โบราณทางตอนใต้ และ "เส้นทางโบราณซีอาน-ทิเบต" นับตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-907) ของจีนเป็นต้นมา  ซีหนิงเป็นเส้นทางคมนาคมสายสำคัญและเป็นเมืองสำคัญทางการทหารในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของจีนจนได้รับสมญานามว่าเป็น "ชัยภูมิระหว่างชิงไห่กับทิเบต" 
      09.30 น. นำชม วัดถ่าเอ๋อร์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดขององค์จงคาปา ผู้ก่อตั้งนิกายหมวกเหลืองที่ได้รับความนิยมและแพร่หลายดินแดนแถบเทือกเขาหิมาลัยและในทิเบตปัจจุบัน รับทราบเรื่องราวของผู้ก่อตั้งนิกายเป็นพื้นฐานก่อนเข้าสู่แดนพระพุทธศาสนาแห่งหลังคาโลก
      ** ข้อแนะนำ : ท่านควรเลือกซื้อขนมหรือผลไม้ รวมถึงน้ำดื่มบรรจุขวด สำหรับขึ้นไปทานบนรถไฟ ที่ร้านค้าภายในอาคารผู้โดยสารของสถานีรถไฟ เพราะราคาจะถูกกว่าที่ขายบนรถไฟ **
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน  
      14.00 น.    เดินทางถึงสถานีรถไฟ เพื่อเตรียมตัวเช็คอินขึ้นรถไฟสายประวัติศาสตร์ เป็นรถไฟสายที่สูงที่สุดในโลก ทำลายสถิติรถไฟในเปรู ด้วยความสูง 5,072 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล สูงกว่าเปรู 255 เมตร
      15.00 น. นำท่านขึ้นรถไฟขบวน Z21 มุ่งหน้าสู่กรุงลาซา ดินแดนหลังคาโลกอันศักดิ์สิทธิ์ของชาวทิเบตนับถือพุทธแบบวัชรยาน
      15.20 น. ขบวนรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีรถไฟซีหนิง 
      เชิญพักผ่อนบนรถไฟ พร้อมชมวิวทิวทัศน์ที่สวยงามที่แต่งแต้มไว้อย่างเป็นธรรมชาติโดยธรรมชาติ
      ขบวนรถไฟแล่นออกนอกเมืองซีหนิง ผ่านทะเลสาบชิงไห่ ทะเลสาบชิงไห่ (Qinghai Lake) เป็นทะเลสาบน้ำเค็มใหญ่ที่สุดของประเทศจีน อยู่ในมณฑลชิงไห่ สหประชาชาติจัดให้เป็น "พื้นที่ชุ่มน้ำแหล่งสำคัญของโลก" มีจุดเด่นคือ มีน้ำไหลเข้าอย่างเดียว โดยมีพื้นที่ทั้งหมด 4,500 ตารางกิโลเมตร อยู่เหนือระดับน้ำทะเล 3,196 เมตร มีความยาวจากตะวันตกถึงตะวันออก 106 กิโลเมตร และมีความกว้างจากเหนือถึงใต้ 63 กิโลเมตร น้ำลึกโดยเฉลี่ย 19 เมตร และลึกที่สุด 39 เมตร โดยมีภูเขาโอบล้อมอยู่ทุกทิศทาง 
      อิสระอาหารเย็นบนรถไฟ
      22.15 น. ขบวนรถไฟนำท่านเดินทางถึงสถานีเก๋อเอ๋อร์มู่  เมืองเก๋อเอ๋อร์มู่เป็นไข่มุกดวงใหม่แห่งหลังคาโลก ห่างจากเมืองซีหนิง 830 กม. อยู่บนที่ราบสูงทิเบต-ชิงไห่และเชิงเขาคุนลุ้น เป็นเมืองที่มีพื้นที่ปกครองมากที่สุดของโลก และมีประวัติศาสตร์ยาวนานมากถึง 2,800 กว่าปี ตัวเมืองสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1953  ตอนที่ทหารเหมาเจ๋อตุงสร้างทางหลวงเพื่อขนส่งสิงค้าให้เข้าทิเบตได้ง่ายขึ้น เป็นเมืองใหญ่อันดับสามของหลังคาโลก  รองลงมาจากเมืองลาซาและซีหนิง 
      22.40 น. ขบวนรถไฟเริ่มเคลื่อนออกจากสถานีเก๋อเอ๋อร์มู่ 
      รถไฟออกจากเมืองเก๋อเอ๋อร์มู่ประมาณ 60 กิโลเมตร ผ่านทะเลสาบเกลือฉา เออร์ ฮั่น เป็นทะเลสาบน้ำเกลือที่ใหญ่เป็นอันดับสองของโลก มุ่งหน้าสู่ที่ราบสูงหลังคาโลก ก่อนขึ้นหลังคาโลกโปรดอย่ากังวลเรื่องอ๊อกซิเจน เพราะอยู่ในรถไฟที่ปิดมิดชิดมีระบบอ๊อกซิเจนทั้งในห้องพักบริเวณหัวเตียงและส่วนกลางตรงบริเวณทางเดิน หากท่านรู้สึกหายใจลำบาก บนรถไฟมีท่ออ๊อกซิเจนไว้บริการ  
      (บนขบวนรถไฟมีอ่างล้างหน้า แปรงฟัน และน้ำอุ่นบริการตลอด 24 ชั่วโมง)
      ภายในตู้รถไฟมีเครื่องทำความร้อน หรือ ฮีตเตอร์ติดตั้ง และท่ออ๊อกซิเจน บริการตลอด 24 ชั่วโมง 


  • Day 3
    เทือกเขาคุนลุ้น - สถานีถังกู่ล่า - ลาซา
    •  03.40 น. รถไฟผ่านเขาหิมะยู่ จู (YU ZHU MTN. สูง 4,400 เมตร) เขาหิมะยู่ จูเป็นที่ตั้งของยอดเขาคุนลุ้นที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลถึง 6,178  เมตร แม้เดือนกรกฎาคม (หน้าร้อนสุดของจีน) ก็ยังมองเห็นปรากฏการณ์หลากหลายที่เปลี่ยนแปลงจากแสงแดดส่องหิมะและธารน้ำแข็งที่อยู่บนเขา เมื่อเข้าสู่หน้าร้อน น้ำแข็งกับหิมะละลายกลายเป็นแหล่งเกิดของน้ำพุคุนลุ้น และแม่น้ำเก๋อเอ๋อร์มู่ ในช่วงหน้าหนาวที่หลังคาโลกเต็มไปด้วยหิมะ แต่เขาหิมะยู่ จูจะ สวยงามกว่าใครเพื่อน จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวดึงดูดสายตาของนักท่องเที่ยวทั่วโลก เทือกเขาคุนลุ้นแห่งนี้นับเป็นกระดูกสันหลังของภูเขาทั้งหลายของประเทศจีน รวมความยาว 2,400 กิโลเมตร กว้าง 70 กิโลเมตร มีความสูงเฉลี่ย 5,000 เมตร ยอดเขาสูงสุดสูงถึง 7,719 เมตรจากระดับน้ำทะเล ในนิทานโบราณจีนมักจะเรียกเป็นชีพจรมังกร เป็นต้นกำเนิดของลัทธิเต๋า ชาวจีนจึงนับให้เป็นแหล่งเกิดความศิวิไลกว่า 5,000 ปีของประเทศจีน รอดอุโมงค์คุนลุ้นซึ่งยาวถึง 1,684 เมตร สูงจากระดับน้ำทะเล 4,648 เมตร ช่วงหนาวสุดติดลบ 30 องศา เป็นอุโมงค์ที่ยาวสุดในเขตดินน้ำแข็ง 
      รถไฟวิ่งผ่าน สวนอนุรักษ์สัตว์เขอ เข่อ ซี ลี่  เป็นสวนอนุรักษ์สัตว์ป่าที่มีพื้นที่กว้างสุด มีระดับน้ำทะเลสูงสุดและมีจำนวนสัตว์ป่ามากที่สุดของจีน มีเนื้อที่ 8.3 ตร.กม. ระดับเหนือน้ำทะเล 4,800 เมตรขึ้นไป อากาศหนาวตลอดทั้งปี อุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปี -4 องศา หนาวสุด -40 องศา มีลมพัดแรงตลอดปี ( 30 เมตรต่อวินาที ) มีสภาพอากาศรุนแรงทำให้เป็นเขตไม่มีผู้คนพักอยู่อาศัยเลย เรียกว่าเป็นขั้วโลกแห่งที่สาม แต่กลับกลายเป็นสวนตามธรรมชาติที่อยู่ของสัตว์ชนิดต่างๆมากถึง 230 ชนิด เพื่อไม่เป็นการทำลายสิ่งแวดล้อมที่อยู่อาศัยของสัตว์ จำเป็นต้องสร้างสะพานลอยขึ้นเหนือพื้นดินเพื่อให้รถไฟวิ่งได้ อยู่ใต้สะพานซึ่งเป็นทุ่งหญ้าอันกว้างใหญ่แบบไร้ขอบเขตจำกัด รถไฟแล่นข้ามสะพานชิงสุยยาว 11.7 กิโลเมตร เพื่อข้ามแม่น้ำฉู่ หม่า เออร์ เป็นสะพานที่ยาวที่สุดของทางรถไฟสายยิ่งใหญ่แห่งนี้  ผ่านหมู่บ้านอู่เพ้าเหลียง (WUPAOLIANG) สูง 4,700 เมตร รอดอุโมงค์ลมไฟ เป็นอุโมงค์ที่มีระดับน้ำทะเลสูงสุดของโลก สูง 5,010 เมตร ยาว 1,338 เมตร พื้นดินของอุโมงค์ 80% เป็นดินน้ำแข็ง ใช้เวลา 10 เดือนสร้างเสร็จ มีนักวิชาการทั้งหมดสามรุ่นได้เก็บข้อมูล ณ ที่นี่นานถึง 73 ปี เพื่อเป็นข้อมูลศึกษาความเป็นไปได้ในการสร้างทางรถไฟเข้าสู่เมืองลาซา ชมทุ่งหญ้าบนเขาสูง ผ่านแม่น้ำโทงเทียน ซึ่งเป็นแม่น้ำลือชื่อสุดในเรื่องไซอิ๋ว ในฉากตอนที่พระถังซำจั๋งเดินทางไปเชิญพระไตรปิฎกจากอินเดียได้เดินทางผ่านที่นี่ พระไตรปิฎกโดนปลายักษ์กินไปหมด ต่อมาหลังจากได้พระไตรปิฎกคืนกลับมาแล้วจึงต้องนำมาตากแห้งบนสองฝั่งของแม่น้ำสายนี้ เป็นแม่น้ำสายต้นกำเนิดและแม่น้ำแยงซีเกียง  เขาถังกู่ล่า อันยิ่งใหญ่มโหฬาร ชมกลาเซียเจียงเกินตี๋หรู อยู่บนเขาเก๋อราตันตุงยาว 14 กิโลเมตร กว้าง 2 กิโลเมตร ซึ่งเป็นธารน้ำแข็งใหญ่ 
      05.50 น. รถไฟจะแล่นช้าๆให้ท่านชมวิวช่องเขาถังกู่ล่า สูง 5,072 เมตร ซึ่งเป็นประตูเข้าทางสู่ดินแดนทิเบตและเป็นจุดที่สูงที่สุดที่รถไฟสายนี้แล่นผ่าน 
      รถไฟลงจากเขาถังกูล่ามายังทิศใต้ บริเวณเชิงเขาแห่งนี้เป็น ทุ่งหญ้าเชียงถัง พื้นที่กว่า 6 แสนตารางกิโลเมตร ดูเหมือนผ้าฮาต๋าสีเขียวผืนหนึ่งปูไว้บนที่ราบสูง รถไฟวิ่งท่ามกลางท้องทุ่งดอกหญ้าทุ่งมัสตาร์ด ขอบฟ้าสุดสายตาสองข้างทางรถไฟเป็นภาพแนวภูเขาหิมะติดๆ กันยืดยาวไปตามเส้นขอบฟ้า นอกจากนั้นยังมีทะเลสาบน้อยใหญ่ และน้ำพุร้อนอีกมากมายกระจายอยู่ในทุ่งหญ้า ในช่วงเวลาเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม จะพบเห็นชาวทิเบตแข่งม้าบนทุ่งหญ้าแห่งนี้นานถึงครึ่งเดือน  มีนักท่องเที่ยวมาจากทั่วโลกชมงานแข่งม้า ณ ที่นี่ 
      อิสระอาหารเช้าบนรถไฟ



      08.15 น. รถไฟแล่นผ่านเลียบริมทะเลสาบชัวนาซึ่งมีความสูงจาก
      น้ำทะเล 4,300 เมตร รถไฟจะแล่นห่างจากทะเลสาบในระยะใกล้
      เป็นเวลานานพอสมควร ท่านสามารถเก็บภาพความงดงามของทะเลสาบ
      ได้อย่างจุใจเต็มอิ่ม ในช่วงเดือนสิงหาคมและกันยายน หญ้าในริมน้ำสีแดงไปหมดตัดกับสีน้ำเงินของน้ำและสีขาวของหิมะบนยอดเขาริมทะเลสาบ บางครั้งอาจพบนกแปลกตาอันสวยงามเป็นฝูงๆ บินอยู่เหนือน้ำ 
      ถึงเมืองตังโสง เมืองที่ตั้งอยู่ในทุ่งหญ้าทิเบต รอบๆเมืองเต็มไปด้วยเขาหิมะ 
      ถึงเมืองหยัง ปา จิ๋ง  เป็นเมืองที่มีน้ำแร่ร้อนมากที่สุดของทิเบต ขณะนั่งบนรถไฟเห็นไอน้ำร้อนกำลังลอยขึ้นมา จากตามพื้นทั่วไป
        หลังจากรถไฟลอดออกจากอุโมงค์หยัง ปา จิ๋ง ซึ่งยาว 42.5 เมตร จากนั้นรถไฟจะแล่นข้ามสะพานแม่น้ำลาซา เพื่อรอดอุโมงค์ หลิ่ว อู๋ อุโมงค์แห่งสุดท้ายที่รถไฟสายนี้ต้องแล่นผ่าน 
      อิสระอาหารกลางวันบนรถไฟ
      12.30 น. ขบวนรถไฟเดินทางถึงสถานีลาซา 
      จากนั้นนำท่านเข้าสู่โรงแรมที่พัก หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการนั่งรถไฟมาตลอดวัน  เชิญท่านพักผ่อนอย่างอิสระตามอัธยาศัย จนได้เวลาพอสมควร 
      เย็น เดินทางไปชมโรงแรมที่เป็นพิพิธภัณฑ์ BRAHMAPUTRA GRAND HOTEL ที่ครั้งหนึ่งสมเด็จพระเทพฯเคยเสด็จมาประทับที่นี่ ซึ่งของตกแต่งทุกชนิดในโรงแรมนี้เป็นวัตถุโบราณเก่าแก่ที่เจ้าของโรงแรมได้เก็บสะสมหามาจากแหล่งต่างๆทั่วทิเบต หากท่านสนใจสินค้าชิ้นใดเป็นพิเศษ ก็สามารถเลือกซื้อได้เช่นกัน
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าพักที่โรงแรม INTERCONTINENTAL LHASA PARADISE HOTEL 5* , LHASA หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    พระราชวังโปตาลา - ตำหนักนอร์บุลิงฆา - วัดโจคัง - ตลาดบาร์ฆอร์
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม  
      นำชม พระราชวังโปตาลา ตั้งอยู่บนยอดเขาแดง (เดินขึ้นประมาณ 25-30 นาที) ซึ่งมีความสูงราว 117 เมตร  พระราชวังโปตาลาเป็นอาคารสูง 13 ชั้น ยาว 400 เมตร กว้าง 350 เมตร มีห้องหับต่างๆ เกือบ 1,000 ห้อง เริ่มสร้างเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 7  โดยกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้รวบรวมทิเบตให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้สำเร็จ  คือ กษัตริย์ซองเซิน กัมโป  (Songtsen Gampo) แรกเริ่มต้องการเพียงจะสร้างเป็นตำหนักให้แก่มเหสีชาวจีน และ ชาวเนปาลของพระองค์เอง ต่อมาได้ใช้ป้อมแห่งนี้เป็นสถานที่ในการศึกษาพระธรรมคำสั่งสอนขององค์สัมมาสัม พุทธเจ้า จวบจนกระทั่งสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นลามะ เป็นผู้ปกครองประเทศ ปัจจุบันส่วนก่อสร้างเดิม 2 หลังนี้ยังคงเหลือให้เห็นอยู่ท่ามกลางสิ่งก่อสร้างใหม่ต่อเติมในยุคหลัง  อาคารที่ต่อเติมในช่วงหลังนี้ส่วนหลักๆ สร้างในสมัยของดาไลลามะที่ 5 ประมาณปี ค.ศ. 1645-1693  (องค์ดาไลลามะองค์ปัจจุบันคือ องค์ที่ 14 ซึ่งลี้ภัยไปอยู่ที่ธรรมศาลาในประเทศอินเดีย) เพื่อให้เป็นพระราชวังฤดูหนาว พระราชวังโปตาลา แบ่งออกเป็น 3 ส่วน คือ ส่วนของพระราชวังสีขาว, สีแดง และส่วนเชื่อมที่เป็นสีเหลือง โดยใช้พระราชวังสีขาวเป็นส่วนของสังฆาวาส พระราชวังสีแดงเป็นส่วนพุทธาวาสสำหรับใช้ทำกิจของสงฆ์และบรรจุพระศพขององค์ดาไลลามะ ( องค์ที่ 5, 7, 8, 9, 10, 11, 12 และ 13 ) และห้องสมุดที่ใช้สำหรับเก็บพระไตรปิฎก
      กลางวัน      รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำชม ตำหนักนอร์บุลิงฆา  อันเป็นพระราชวังฤดูร้อนคู่กันกับพระราชวังฤดูหนาวโปตาลา  ความหมายเดิมของชื่อ นอร์บุลิงฆา แปลว่า “สวนอัญมณี” สร้างขึ้นในช่วงหลังศตวรรษที่ 18 (ตรงกับปี พ.ศ. 2298 ก่อนกรุงศรีอยุธยาจะแตก 12 ปี) 


      โดยดาไลลามะที่ 7 สมัยต่อๆ มา ดะไลลามะองค์อื่นๆ 
      ได้สร้างต่อเติมส่วนของตนเองขึ้นมาเรื่อยๆ แม้แต่ดาไลลามะองค์ที่ 14 
      ก็ยังได้ต่อเติมพระราชวังของตนเองก่อนที่จะหนีออกจากทิเบต 
      ในบริเวณโถงรับรองมีบัลลังก์เทวราช และงานจิตรกรรมฝาผนัง
      เกี่ยวกับประสบการณ์ชีวิตในแง่มุมต่างๆ โดยมีกรอบเป็นภาพเขียนพุทธชาดก 
      นำชม วัดโจคัง ภาษาจีนเรียก วัดต้าเจ้าซื่อ (Jokhang Temple) เป็นวัดที่ถือว่าเป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวทิเบตทั้งมวล เพราะเมื่อมีพิธีถือศีลกัน พระลามะจำนวนมากก็จะเดินทางมารวมกันทำพิธีที่นี่  สร้างในสมัยของกษัตริย์ซองเซิน กัมโป ( ปี ค.ศ. 620-649 เป็นผู้ที่รวมอาณาจักรทิเบตให้เป็นปึกแผ่น )  เพื่อไว้เป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธรูปที่มเหสีชาวต่างชาติสององค์ของพระองค์คือ เจ้าหญิงเหวินเฉิงแห่งจีน และเจ้าหญิงภริคุติแห่งเนปาลนำเข้ามายังทิเบต  ศิลปะการก่อสร้างมีจุดเด่นตรงที่นำเอาศิลปะของ 4 ชาติมาผสมกันคือ ทิเบต จีน เนปาลและแคชเมียร์ มีตำนานเล่ากันว่า ก่อนที่กษัตริย์ซองเซินกัมโปจะสร้างวัดต้าเจาซื่อ(วัดโจคัง) ได้อธิษฐานว่าพระองค์จะโยนแหวนขึ้นไปบนอากาศ หากแหวนนั้นตกลงที่ใดก็จะสร้างวัดลงตรงนั้น ปรากฎว่าแหวนลอยลงไปตกในสระน้ำกระทบกับหินที่โผล่ขึ้นมา ทันใดนั้นเองภาพนิมิตของสถูปก็ปรากฏให้แก่คนทั่วไปได้เห็น จึงนับว่าเป็นนิมิตที่ดี กษัตริย์ซองเซิน กัมโป ก็เลยให้สร้างวัดลงตรงนั้นเอง ภายในวัดนี้เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่พระนางเหวินเฉิงนำมาจากประเทศจีนเมื่อ 1,300 ปีก่อน ซึ่งได้รับการกราบไหว้และยอมรับกันอย่างมากว่าศักดิ์สิทธิ์ที่สุด แม้แต่พวกขบวนการเรดการ์ดหรือกองทัพแดงที่ทำลายทุกอย่างตอนที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรมจีนในประเทศจีนยังไม่กล้าแตะต้องพระพุทธรูปองค์นี้เลย  ในบริเวณหน้าวัดท่านจะเห็นชาวทิเบตจำนวนมากนอนกราบแบบอัษฎางคประดิษฐ์  ชาวทิเบตที่เดินเข้าแถวเพื่อเข้าไปด้านใน บ้างถือกระติกน้ำมันเนย บ้างถือถุงเนยแข็ง เพื่อไปเติมตะเกียงบูชาพระ  จากนั้นนำท่านออกมาเดินชมวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวทิเบตที่ ถนนบาร์ฆอร์ หรือถนนแปดเหลี่ยม ที่ล้อมรอบวัดโจคัง อิสระให้ท่านได้ช้อปปิ้งซื้อสินค้าพื้นเมืองอันหลากหลาย
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าพักที่โรงแรม INTERCONTINENTAL LHASA PARADISE HOTEL 5* , LHASA หรือเทียบเท่า

  • Day 5
    วัดกานเดน - พิพิธภัณฑ์ทิเบต - วัดเซรา - ชมโชว์ Princess Wencheng Large Live
    • เช้า             รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม  
      นำท่านเดินทางสู่ทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกรุงลาซา 40 กิโลเมตร ( บนเส้นทางเดียวกันนี้เป็นเส้นทางรถอีก    ทางหนึ่งที่มีผู้นิยมเดินทางสู่ทิเบตโดยเริ่มที่มลฑลยูนนาน ) สู่ยอดเขาที่ความสูง 4,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ก่อนถึงวัดกานเดนใ ห้ท่านบันทึกภาพวัดในมุมแบบกว้าง ณ จุดชมวิว ท่านจะได้เห็นอาณาเขตของวัดที่ดูเหมือนตั้งอยู่บนหน้าผาสูงแล้ว ท่านได้ชื่นชมกับทัศนียภาพของธรรมชาติอันสวยงามของขุนเขาที่สลับซับซ้อนกว้างไกลสุดตา  วัดกานเดน (GANDEN MONASTERY)  สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1409 โดยซงฆาปา เป็นผู้ริเริ่มลามะนิกายหมวกเหลือง ซึ่งถือเป็นวัดแห่งแรกในนิกายหมวกเหลือง หรือ นิกายกานเดน เป็นสถาปัตยกรรมแบบทิเบตโดยแท้จริง (กานเดน หมายถึง มีความสุขในภาษาทิเบต และยังเป็นชื่อเรียกของสวรรค์ของตะวันตก ซึ่งเป็นที่ประทับของพระศรีอริยะเมตไตรย (พระพุทธเจ้าในอนาคต)) วิหารที่ใหญ่ที่สุดมีพื้นที่ 1,600 ตร.ม. สามารถจุรองรับลามะได้ถึง 3,500 รูป ในช่วงปี ค.ศ.1959-1966 ที่มีการปฏิวัติวัฒนธรรมของจีน วัดกานเดนได้รับความเสียหายจากไฟไหม้และระเบิดโดยพวกขบวนการเรดการ์ด กองทัพแดง และได้บูรณะซ่อมแซมขึ้นใหม่ในภายหลัง       
      กลางวัน       รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำชม วัดเซรา (Sera Monastery) ซึ่งอยู่ห่างไปทางเหนือ 5 กิโลเมตร บริเวณเชิงเขาตาติปู  และสร้างขึ้นบนพื้นที่ซึ่งเคยเป็นที่ตั้งของกระท่อมที่พระซงฆาปาศึกษาธรรมและปฎิบัติกรรมฐาน 


      ทางเหนือของเมืองลาซาขึ้นไป  สร้างโดยศิษย์รูปหนึ่งของซงฆาปา 
      (Tsong Khapa) เมื่อปี ค.ศ. 1419 ( ซงฆาปา มีอายุอยู่ระหว่างปี 
      ค.ศ. 1357-1416 เป็นผู้ปฏิรูปและก่อตั้งพุทธศาสนา ลัทธิเกลุคปา 
      (Gerlugpa Sect) หรือ นิกายคุณธรรม ซึ่งนิยมเรียกนิกายหมวกเหลือง ตามประวัติเล่ากันว่า ซงฆาปา ก็คือพระอาจารย์ขององค์ดาไลลามะที่ 1 อารามแห่งนี้เคยมีพระจำวัดอยู่ถึงเกือบ 5,000 รูป เป็นอารามที่รู้จักกันดีทั่วทิเบต  เนื่องจากมีสำนักสงฆ์ที่มีคุณภาพ  ปัจจุบันมีพระจำวัดอยู่ประมาณ 300 รูป  อาคารหลักๆ ของอารามยังคงอยู่ในสภาพดี เนื่องจากไม่ถูกทำลายลงในช่วงการปฏิวัติวัฒนธรรม ทุกๆวันช่วงบ่ายแก่จะมีการฝึกฝนทางธรรมโดยการใช้การตั้งและตอบคำถาม โดยที่ลามะแต่ละรูปจะมารวมตัวที่ลานวัด เพื่อทดสอบพระธรรมในรูปแบบการตั้ง “ปุจฉา” และ “วิสัชนา” และอาจได้ชมพระที่วัดนี้
      จากนั้นนำท่านชม พิพิธภัณฑ์ทิเบต สถานที่สะสมวัตถุโบราณ และภาพพระบฏสำคัญต่างๆ 
      เย็น รับประทานอาหารเย็น HOT POT 
      หลังอาหารเย็น นำท่านชมสุดยอดการแสดงโชว์ Princess Wencheng Large Live ที่เพิ่งเปิดตัวล่าสุด ใหญ่อลังการงานสร้างจริงๆ
      เข้าพักที่โรงแรม INTERCONTINENTAL LHASA PARADISE HOTEL 5* , LHASA หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    ลาซา - ทะเลสาบยัมดก - วัดเพลกอร์ - เจดีย์คุมบุม - กังสเต - ชิกัตเช่
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม  
      นำท่านออกเดินทางบนเส้นทางทิศตะวันตกสู่เมืองกังสเต บนเส้นทางส่วนหนึ่งของถนนสายมิตรภาพที่เชื่อมระหว่างเนปาลและทิเบต รถวิ่งลัดเลาะภูเขาและแม่น้ำยาร์ลุงหรือแม่น้ำพรหมบุตร ชมทิวทัศน์สองข้างทางบนดินแดนหลังคาโลก นำท่านชมทะเลสาบน้ำจืดขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่บนหลังคาโลก ครอบคลุมพื้นที่ 600 ตร. กม. ซึ่งสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 4,641 เมตร นั่นคือ ทะเลสาบยัมดร็อก (YAMDOK TSO) ตั้งอยู่ห่างจากเมืองลาซา 80 กิโลเมตร เป็น 1 ใน 3 ทะเลสาบสวรรค์ของทิเบต  น้ำใสจนเห็นภาพสะท้อนของภูเขา ท้องฟ้า เมฆ อย่างชัดเจน สีของน้ำในทะเลสาบออกสีเขียวอมฟ้าจนได้รับฉายาว่า ทะเลสาบเทอร์ควอยส์ ซึ่งหินเทอร์ควอยส์เป็นหินประดับที่มีค่ามากและพบเห็นได้มากในดินแดนแห่งนี้ (แต่จะจริงหรือปลอมก็ต้องพิสูจน์กันอีกที) จุดชมทะเลสาบสูง 4,990 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เป็นจุดสูงสุดที่เราลงไปยืนและเก็บภาพความประทับใจบนเส้นทางนี้
      ได้เวลาพอสมควรเดินทางต่อ ระหว่างทางเราจะผ่านหมู่บ้านชาวทิเบตแท้ๆ ที่หาชมได้ยากแล้วในเมือง ความเป็นอยู่ของชาวบ้านที่อยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ถึงแม้ทุกวันนี้ความเจริญได้คืบคลานเข้ามาอย่างรวดเร็ว เรายังอาจได้พบเห็นวิถีความเป็นอยู่แบบดั้งเดิมอยู่บ้าง นับจากจีนได้นำความเจริญพุ่งตรงเข้าสู่ใจกลางเมืองลาซาในปัจจุบัน ทำให้ความเป็นอยู่เปลี่ยนแปลงไป โดยเฉพาะหนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่เข้ามาหางานในเมือง อย่างไรก็ดีความศรัทธาในพระพุทธศาสนาของชาวทิเบต ยังคงไม่ได้ลดน้อยลงไป  
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน ระหว่างทาง
      บ่าย บ่ายแก่ๆ เดินทางถึง เมืองกังสเต เมืองที่ใหญ่เป็นอันดับสามรองจากกรุงลาซาและเมืองซิกัทเซ่ เป็นหนึ่งในมืองสำคัญบนเส้นทางการค้าไม้และขนสัตว์ระหว่างทิเบตและอินเดีย  เมืองกังสเตแห่งนี้เคยเป็นสถานที่ที่ทหารทิเบตต้านทานกองกำลังทหารจากอังกฤษ ซึ่งนำโดย Fransis Younghusband ที่การต่อสู้ของทหารทิเบตมีเพียงดาบและทังก้าที่ห้อยอยู่ที่หน้าอกเพียงเท่านั้น 



      นำท่านชม วัดเพลกอร์ สร้างในปีค.ศ.1418 ประกอบด้วย
      อารามน้อยใหญ่ 15 หลัง เชิญชมภาพทังก้าและรูปปั้นธรรมบาล
      ที่ปกติจะเป็นภาพเขียน แต่ที่นี่จะเป็นรูปปั้น จากนั้นชมสถานที่อันศักดิ์สิทธิ์
      และเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นเลิศที่ชาวทิเบตภาคภูมิใจ คือ เจดีย์ เจียนเซ่คุมบุม (Gyangtse Kumbum Stupa) ตรงกลางของสถูปนั้นเป็นสัญลักษณ์แทนหนทางอันศักดิ์สิทธิ์ที่จะนำไปสู่การปลดปล่อยทางวิญญาณหรือ มัณฑาลา (Mandala) และยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วาดไว้เมื่อศตวรรษที่ 15 โดยชาวเนปาล  
      จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมือง ชิกัตเช่ (3,900 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล) ห่างจากเมืองกังสเตราว 67 กิโลเมตร ซึ่งเป็นเมืองใหญ่เป็นอันดับสองรองจากลาซา  
      เย็น รับประทานอาหารเย็น
      เข้าพักที่โรงแรม TASHI CHOTAR GRAND HOTEL 4* , SHIGATSE หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    ชิกัทเซ่ - วัดทาชิลุนโป - ลาซา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม 
      นำท่านชม วัดทาชิลุนโป 1 ใน 6 วัดสำคัญของนิกายหมวกเหลือง หรือเกลุคปา อันประกอบด้วย วัดเดรปุง วัดเซรา วัดกานเดน และวัดคุมบุม วัดลาบัง ในเขตอัมโด วัดทาชิลุนโป เป็นสถานที่พำนักของปัญเชนลามะ  สร้างในสมัยค.ศ. 1447 โดยซงฆาปา ซึ่งเป็นสถานที่พำนักของปัญเชนลามะ ผู้ที่เป็นอาจารย์ขององค์ดาไลลามะ ลองไปฟังว่า ปัจจุบันภายในบริเวณวัดท่านจะได้ชมสถูปขององค์ปัญเชนลามะรวมถึงองค์ที่ 10 ซึ่งสร้างอย่างยิ่งใหญ่ ใช้ทองคำและเครื่องประดับที่มีค่ามหาศาล  นำท่านชมสถานที่ประดิษฐานพระอริยเมตไตรย หรือพระพุทธเจ้าในอนาคต ซึ่งมีขนาดใหญ่สูง 26 เมตร 
      (ข้อมูลเพิ่มเติม : หากท่านมาเยือนในช่วงเทศกาลโลซา หรือปีใหม่ทิเบต ท่านจะได้พบกับพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ เรียกว่า Gudor ซึ่งเป็นการเปลี่ยนขนจามรีสีดำที่ผูกอยู่ที่ปลายเสาด้านบน ซึ่งเป็นตัวแทนป้องกันสิ่งชั่วร้าย  และผูกธงมนตรา 5 สีใหม่ พร้อมกันนั้นชาวบ้านก็จะนำผงข้าวสาลี ซึ่งเป็นตัวแทนของความอุดมสมบูรณ์มาโปรย และขว้างใส่กันเหมือนเทศกาลสงกรานต์บ้านเรา แต่ใช้ผงแป้งข้าวแทนน้ำ) 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านเดินทางกลับกรุงลาซา ใช้เวลาประมาณ  6 ชั่วโมง ( เพราะทางการทิเบตจำกัดเวลาและควบคุมความเร็วของรถในการเดินทางต่างจังหวัด ประมาณ 30 – 60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง แล้วแต่เส้นทางบางช่วงไม่เท่ากัน )
      ค่ำ        รับประทานอาหารค่ำ
      เข้าพักที่โรงแรม INTERCONTINENTAL LHASA PARADISE HOTEL 5* , LHASA หรือเทียบเท่า

  • Day 8
    ลาซา - เฉิงตู - กรุงเทพฯ
    • เช้าตรู่ รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม แบบกล่อง 
        อำลาเมืองลาซา นำท่านเดินทางสู่สนามบิน
      09.20 น. เหินฟ้าสู่เมือง เฉิงตู โดยสายการบินเสฉวนแอร์ไลน์ เที่ยวบิน 3U8658 (09.20-11.20)
      11.20 น. เดินทางถึงสนามบินเมืองเฉิงตู 
      นำท่านรับประทานอาหารกลางวันภายในสนามบิน อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ
      15.30 น. อำลาเมืองเฉิงตู ออกเดินทางกลับกรุงเทพฯ โดยเที่ยวบิน TG 619 (15.30-17.35)
      17.35 น.    ถึงกรุงเทพฯ โดยสวัสดิภาพพร้อมความประทับใจ
Top