EVEREST BASE CAMP (EBC)
    หลายคนคงสงสัยว่า EBC ย่อมาจากอะไร สำหรับคนที่คุ้นเคยกับการ trekking ชอบเดินเขา ลุยป่า คงจะเข้าใจคำว่า EBC ว่าหมายถึงอะไร แต่สำหรับคนที่ไม่ได้อยู่ในสายนี้อาจจะต้องทำความรู้จักกันสักหน่อย EBC นี้ย่อมาจากคำว่า Everest Base Camp หรือจุดที่เป็นแคมป์ฐานสำหรับการไต่ขึ้น Mt. Everest ซึ่งเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ( 8,848 เมตรจากระดับน้ำทะเล )
    การเดินทางในเส้นนี้เราจะได้สัมผัสความสวยงามของธรรมชาติที่ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางที่สวยงามที่สุดแห่งหนึ่งของโลก สักครั้งในชีวิตกับการเดินทางบนเส้นทางปีนเขาเอเวอเรสต์ เบส แคมป์ หรือ EBC ในประเทศเนปาล เป็นเส้นทางเทรคกิ้งที่ได้รับความนิยมมาก และเป็นเป้าหมายแห่งความมุ่งมั่นสูงสุดสำหรับนักเดินทางหลายคนบนโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตอยากจะพิชิตให้ได้ซึ่งเหมาะสำหรับผู้ที่ชอบการผจญภัย นับเป็นประสบการณ์ที่หายากในการสัมผัสกับภูเขาที่สูงที่สุดในโลก
จุดหมายปลายทางของเราจะอยู่ที่เอเวอเรสต์ เบส แคมป์ ( EBC ) ณ ความสูงที่ 5,545 เมตรจากระดับน้ำทะเล ซี่งใช้เวลาทั้งหมด 11 วัน ครั้งหนึ่งในชีวิต บนเส้นทางสัมผัสยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกอย่างใกล้ชิด เอเวอเรสต์ เบส แคมป์ ประสบการณ์ที่สุดท้าทาย
     วันแรกของการเดินทาง หลังจากเดินทางถึงสนามบินกาฐมัณฑุ ประเทศ เนปาลแล้ว เราจะไปหาซื้อของเพื่อเตรียมตัวสำหรับการเดินทางที่ย่านทาเมล ( Thamel ) ก่อนที่จะเดินทางไปตามเส้นทางของยอดเขาเอเวอเรสต์ ทาเมล เป็นตลาดกลางใจเมืองที่มีสินค้าให้เลือกกันเยอะแยะมากมาย ส่วนใหญ่เป็นสินค้าพื้นเมือง ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า กระเป๋า ข้าวของเครื่องใช้ แต่ที่สำคัญที่สุดเลยคือที่นี่มีอุปกรณ์ในการเดินเขา เช่น รองเท้า ถุงนอน เสื้อกันหนาว เสื้อกันฝน กระเป๋าเป้ เป็นต้น 
     วันที่สองของการเดินทาง เราจะเดินทางสู่สนามบินตรีภูวัน เพื่อเดินทางสู่เมือง ลุคลา ซึ่งวันนี้เป็นวันแรกของการเทรคกิ้ง โดยจะเริ่มเดินขึ้นเขาตามเส้นทางของยอดเขาเอเวอเรสต์ เดินทางสู่หมู่บ้านหมู่บ้านพาคดิง หมู่บ้านเล็กๆ ที่ตั้งอยู่กลางหุบเขา เป็นมรดกโลกโดยองค์กรยูเนสโก ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 หมู่บ้านนี้ยังเป็นที่แวะพักสำหรับนักท่องเที่ยวที่มาเพื่อปีนเขาเอเวอเรสต์ด้วย
     วันที่สามของการเดินทาง วันนี้จะใช้เวลาในการเดินเท้าประมาณ 5-6 ชั่วโมง เราจะเดินทางสู่ นัมเช บาร์ซาร์  ( Namche Bazaar 3,446 เมตร ) หมู่บ้านแห่งนี้จะตั้งอยู่บนเนินเขาสูง ที่นี่จะเป็นสถานที่ที่นักเดินเขานิยมแวะพัก เพื่อปรับสภาพร่างกายให้เข้ากับความสูง และเปรียบเสมือนเป็นประตูสู่เทือกเขาหิมาลัย เนื่องจากเมืองนี้มีที่พักและร้านค้าจำนวนมาก จึงเป็นจุดแวะพักที่สำคัญของนักเดินทาง และในทุกเช้าวันเสาร์ จะมีการตั้งตลาดประจำสัปดาห์ที่ใจกลางหมู่บ้าน
     วันที่สี่ของการเดินทาง วันนี้เราจะมีการปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับความสูง โดยการขึ้นไปบนที่สูง แล้วเดินกลับลงมาที่เดิม ซึ่งจำเป็นมากๆ สำหรับการเดินเขาบนที่สูงแบบนี้ เดินบนเส้นทางขึ้นเขาไปที่จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นเพื่อชมยอดเขากวองเด ยอดเขาสีทอง 
     วันที่ห้าของการเดินทาง วันนี้เราจะขึ้นสู่จุดที่สูงขึ้นอีกระดับหนึ่ง เท็งบูเช ( Tengboche 3,900 เมตร ) เป็นหมู่บ้านเล็กๆ ตั้งอยู่บนเนินเขาสูงทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของกาฐมัณฑุ ใกล้ชายแดนเนปาล-ทิเบต ซึ่งมีชาวเชอร์ปาที่อพยพมาจากทิเบตเมื่อ 600 ปีก่อนอาศัยอยู่ และที่หมู่บ้านแห่งนี้ จะมีวัดและอารามของศาสนาพุทธ ที่นักปีนเขาที่ใช้เส้นทางนี้มักมาขอพรให้เดินทางปลอดภัยและเดินทางได้ถึงที่หมายอย่างที่ตั้งใจ รวมถึงนักปีนเขาคนต่างๆ ที่เป็นผู้พิชิตยอดเขาเวอเรสต์ ก็ได้มาขอพรที่นี่
     วันที่หกของการเดินทาง วันนี้เราจะเดินเท้าประมาณ 5-6 ชั่วโมง เพื่อไปที่ดิงบูเช ( Dingboche 4,530 เมตร ) เป็นหมู่บ้านที่มีความคล้ายกับ นัมเช บาร์ซาร์ ที่เป็นจุดแวะพักอีกจุดหนึ่งสำหรับนักปีนเขาที่มุ่งหน้าไปยังเอเวอเรสต์ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดที่ไว้สำหรับพักปรับสภาพร่างกาย และหมู่บ้านแห่งนี้ก็ยังมีที่พักและสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้แก่นักเดินทางได้พักผ่อนอีกด้วย
     วันที่เจ็ดของการเดินทาง วันนี้เราจะมีการปรับสภาพร่างกายให้คุ้นชินกับความสูง โดยการขึ้นไปบนที่สูง แล้วเดินกลับลงมาที่เดิม ซึ่งจำเป็นมากๆ สำหรับการเดินเขาบนที่สูงแบบนี้ เดินบนเส้นทางขึ้นเขาไปที่จุดชมวิวพระอาทิตย์ขึ้นที่ยอดเขานังคาร์ทซัง ( Nangkartshang peak ) 
     วันที่แปดของการเดินทาง วันนี้เราจะเดินไปเรื่อยๆ ประมาณ 5-6 ชั่วโมง เป็นการเดินแบบไม่ลำบากเกินนไป เพื่อชมธรรมชาติข้างทางและหมู่บ้านเก่าแก่บนเส้นทางนี้ เช่น หมู่บ้านเพอร์ริเช ( Pheriche ) ซึ่งเป็นสถานที่ยอดนิมยมที่นักปีนเขาจะเข้ามาพัก และที่นี่ยังมีโรงพยาบาลให้บริการอีกด้วย
     วันที่เก้าของการเดินทาง วันนี้เราจะเดินขึ้นเขาหินไปสู่ฐานของ EBC โดยเดินเท้าประมาณ 6-7 ชั่วโมง ไปที่หมู่บ้านโกรัคเชบ ( Gorakshep 5,180 เมตร ) ซึ่งเป็นหมู่บ้านเล็กๆ บนที่ราบที่สามารถมองเห็นภูเขาสองลูกได้อย่างถนัดตา คือ เขาคาลาพาทเธอร์ ( Kalapatthar ) และเขาพูมอริ ( Pumori ) เป็นที่นิยมมากสำหรับนักปีนเขาจะมาพัก ที่นี่เป็นสถานที่สุดท้ายก่อนถึงฐานของเอเวอเรสต์ และที่นี่ยังเป็นจุดที่ใกล้กับฐานเอเวอเรสต์มากที่สุด เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางของวันนี้ เอเวอเรสต์ เบส แคมป์ ( South Everest Base Camp 5,364 เมตร ) ที่นี่คือสถานที่เป้าหมายแห่งความมุ่งมั่นสูงสุด สำหรับนักเดินทางหลายคนบนโลก ที่ครั้งหนึ่งในชีวิตอยากจะพิชิตให้ได้ จากจุดของทำเลที่ตั้งของ เอเวอเรสต์ เบส แคมป์ ซึ่งจะได้เห็นวิวมุมกว้างของเทือกเขาลังตัง ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของหิมาลัยได้อย่างชัดเจนสวยงาม เส้นทางเดินเขาเส้นนี้เป็นหนึ่งในเส้นทางปีนเขาที่ได้รับความนิยมในเทือกเขาหิมาลัย เป็นเส้นทางปีนเขาของนักท่องเที่ยว ที่ชอบความท้าทาย ซึ่งนับเป็นประสบการณ์การเดินทางที่นักท่องเที่ยวแนวผจญภัยทั่วโลกใฝ่ฝันจะมาเยือน
     วันที่สิบของการเดินทาง เราจะเดินทางขึ้นไปชม คาลาพาทเธอร์ ( Kalapatther 5,545 เมตร ) เพื่อชมวิวยอดเขาเอเวอเรสต์ ซึ่งเป็นจุดที่สามารถมองเห็นยอดเขาเอเวอเรสต์สวยและชัดเจนที่สุด หลังจากนั้นจะกลับไปที่หมู่บ้านโกรัคเชบ เพื่อขึ้นเฮลิคอปเตอร์กลับสู่เมืองกาฐมัณฑุ สิ่งเป็นการสิ้นสุดการเดินทางในครั้งนี้พร้อมความรู้สึกที่ประสบความสำเร็จในการขึ้นสู่ Everest Base Camp


มาทำความรู้จักกับเอเวอเรสต์ ยอดเขาที่สูงที่สุดในโลกกัน!
     เอเวอร์เรสต์ เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในแนวเทือกเขาหิมาลัย ในทางภูมิรัฐศาสตร์ ยอดเขาเอเวอเรสต์ถือเป็นจุดแบ่งพรมแดนระหว่างประเทศเนปาลและทิเบต โดยเส้นทางที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว คือเส้นทางจากทางฝั่งเมือง Lukla ของประเทศเนปาล ชาวเนปาลเรียกยอดเขาเอเวอเรสต์ว่า “สครมาตา” หมายถึง มารดาแห่งท้องสมุทร ส่วนชาวทิเบตเรียกยอดเขาแห่งนี้ว่า “โชโมลังมา” หมายถึง มารดาแห่งสวรรค์  ถ้าหากถามถึงความสูงของยอดเขาเอเวอเรสต์ เมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล ถือว่าเอเวอเรสต์เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งมีความสูงจากระดับน้ำทะเลอยู่ที่ 8,848 เมตร แต่ถ้าหากวัดจากฐานของภูเขาจนถึงยอดเขา ภูเขาไฟ เมานา  เคอา ( Mauna Kea ) ในหมู่เกาะฮาวาย ก็จะเป็นภูเขาที่สูงที่สุดในโลก ด้วยความสูง 10,210 เมตร ซึ่งเมื่อวัดจากระดับน้ำทะเลภูเขาลูกนี้ก็จะสูงเพียงแค่ 4,205 เมตร เท่านั้น
      ก่อนหน้าที่จะมาเป็นยอดเขาเอเวอเรสต์นั้น นักสำรวจเรียกยอดเขาแห่งนี้ว่า ยอดที่สิบห้า ( Peak XV ) แต่ในเวลาต่อมา เซอร์แอนดรูว์ วอห์ (Andrew Waugh) นักสำรวจประเทศอินเดีย ชาวอังกฤษ ได้ตั้งชื่อภูเขาแห่งนี้ว่า เอเวอเรสต์ เพื่อเป็นเกียรติแก่ เซอร์จอร์จ อีฟเรสต์ (George Everest) นักสำรวจประเทศอินเดียรุ่นก่อนหน้า คำว่า Everest นี้ คนส่วนมากอ่านออกเสียงเป็น เอเวอเรสต์ ขณะที่เซอร์จอร์จอ่านออกเสียงชื่อสกุลของตัวเองว่า อีฟเรสต์ ซึ่งเป็นทีมสำรวจทีมแรกที่เข้าไปสำรวจยังบริเวณยอดเขาเอเวอเรสต์ในปี ค.ศ.1841  ประเทศไทยเราเองก็มีผู้ทำลายสถิติในการขึ้นไปพิชิตยอดเขาเอเวอเรสต์เช่นกัน ในวันที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 เวลา 08.00 น. เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ไทยต้องจารึกไปตลอดกาล เมื่อนายวิทิตนันท์ โรจนพานิช ได้นำธงชาติไทยขึ้นไปโบกบนยอดเขาที่สูงที่สุดของโลก พร้อมกับพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช โดยเขาได้ขึ้นไปพร้อมกับนักปีนเขาชาวเวียดนามอีก 3 คน ซึ่งเป็นชาวเวียดนาม 3 คนแรกที่พิชิตยอดเขาเอเวอร์เรสต์ได้สำเร็จเหมือนกัน ก่อนที่จะเดินทางไปยังยอดเขาเอเวอเรสต์ หรือแม้กระทั่งเบส แคมป์ นักปีนเขาจำเป็นต้องศึกษาสภาพอากาศอย่างถี่ถ้วน เดือนที่เหมาะสมต่อการปีนสู่ยอดเขาเอเวอเรสต์จะอยู่ในช่วงเดือนมิถุนายน และเดือนตุลาคม เพราะเป็นช่วงที่มีอากาศไม่หนาวเย็นมากจนเกินไป ไม่มีพายุหิมะท้องฟ้าจะเปิดโล่งสดใส มีอากาศเพียงพอ สะดวกต่อการหายใจ ทำให้การเดินทางนั้นง่ายขึ้นมาก
     ภูเขาลูกนี้ได้ชื่อว่าเป็นภูเขาที่อันตราย แล้วทำไมถึงมีคนสนใจเยอะขนาดนี้ ? คำตอบก็คือ ด้วยความที่ยอดเขาเอเวอเรสต์มีความสูงจากระดับน้ำทะเลมาก มีอากาศหนาวเย็นขั้นสุดในช่วงหน้าหนาว มีหิมะปกคลุมยอดเขาตลอดทั้งปี เพราะยิ่งสูงความกดอากาศก็ยิ่งต่ำ มีออกซิเจนน้อย และลมพัดแรงมาก ก็ยิ่งเป็นเส้นทางที่อันตรายมากยิ่งขึ้น แต่สำหรับนักท่องเที่ยวที่อยากสัมผัสความท้าทายก็จะมีอีกความคิดหนึ่งว่า การที่ได้ขึ้นไปยังยอดเขาเอเวอเรสต์นั้นเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จในชีวิต ซึ่งถ้าดูเผินๆ หลายคนคงคิดว่ามันก็อาจจะเหมือนภูเขาหิมะธรรมดาๆ แต่การที่ได้เห็นยอดเขาเอเวอเรสต์กับตาตัวเองจะรู้ว่ามันสวยและยิ่งใหญ่จนแทบหยุดหายใจเลยทีเดียว
      การเดินขึ้นสู่เขาเอเวอเรสต์นั้นมี 2 เส้นทาง คือ เบส แคมป์ทางด้านใต้จากฝั่งเมือง Lukla จากเนปาล ( 5,364 เมตร ) และเบส แคมป์ ทางด้านเหนือจากฝั่งทิเบต ( 5,150 เมตร ) และไม่ใช่ว่ามีเพียงเงินอย่างเดียวแล้วจะไปเอเวอเรสต์ได้ นักเดินทางทุกท่านต้องเตรียมความพร้อมของร่างกาย และปรับสภาพร่างกายให้พร้อมเพื่อทนต่อสภาวะอากาศที่หนาวเย็นได้ดีอีกด้วย  สำหรับการเดินทางครั้งนี้อาจดูยากลำบาก แต่หลายๆ คนที่เคยเดินทางไปมาต่างก็บอกว่าคุ้มค่าและคิดว่าชีวิตหนึ่งควรจะได้ทำอะไรสุดความสามารถแบบนี้ดูบ้างเหมือนเป็นรางวัลให้กับชีวิต หากใครกำลังอยากจะออกไปตามล่าหาความฝันที่สุดท้าทายกับประสบการณ์สุดฮาร์ทคอร์ที่ยอดเขาเอเวอเรสต์ การมาเดินทางตามเส้นทางของเขาเอเวอเรสต์ เบส แคมป์ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว


Top