เที่ยวบอลข่าน 

คาบสมุทรบอลข่าน ตำนานอภิมหาอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรก่อนคริสตกาล ความรุ่งเรืองและความล่มสลายแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา ตกผลึกหลงเหลือให้เห็นเพียงเสี้ยวแห่งอารยะในอดีตกาล วิธีการเดียวเท่านั้นที่จะค้นพบเกี่ยวกับเรื่องราวของผู้คนในยุคโบราณก็คือการศึกษาถึงสิ่งต่างๆที่คนเหล่านั้นทิ้งไว้เบื้องหลัง โดยนักโบราณคดีผู้เชี่ยวชาญมักมีการค้นพบใหม่ๆเกิดขึ้นตลอดเวลา ดังนั้นความรู้เกี่ยวกับโลกยุคโบราณจึงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน 

แต่อย่างไรก็ดี เรื่องราวต่างๆและชื่อเหตุการณ์ในยุคปัจจุบันที่เราคุ้นหูล้วนแล้วมีที่มาจากเหตุการณ์ในอดีตทั้งสิ้น จึงขอยกตัวอย่างให้ทราบเป็นเกร็ดความรู้เล็กๆน้อยๆ เช่นเรื่องการวิ่งมาราธอน มีความเป็นมาว่า ในปี 490 ก่อนคริสตกาล จักรพรรดิดาริอุสแห่งเปอร์เซียได้สั่งการให้แม่ทัพนำกองทัพเรือเปอร์เซียไปโจมตีกรุงเอเธนส์ของกรีก ทหารของเอเธนส์ทั้งหมดออกมาสกัดทัพตรงบริเวณจุดยกพลขึ้นบกของกองทัพเปอร์เซียที่ชายหาดชื่อ มาราธอน (Marathon) ซึ่งมีการสู้รบกันอย่างดุเดือดจนได้รับชัยชนะ คนนำสารจึงต้องวิ่งส่งข่าวจากสนามรบเป็นระยะทางไกลกว่า 32 กิโลเมตร ถึงเอเธนส์ เขาก็เสียชีวิตเพราะหมดแรง ด้วยเหตุนี้การวิ่งแข่งระยะทางไกลจึงเรียกกันว่าวิ่งมาราธอนมาจนทุกวันนี้ นี่เป็นเพียงหนึ่งเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นบนคาบสมุทรบอลข่าน

เยือนดินแดนเก่าแก่ต้นกำเนิดแห่งจักรวรรดิกรีกและโรมันที่ถูกจารึกลงในหน้าประวัติศาสตร์โลก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวเล่าขานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับชาวกรีก กษัตริย์กับการทำสงคราม นักรบและพ่อค้า การเดินทางและการค้าขาย แม้กระทั่งอวสานของจักรวรรดิ ในอดีตการทำสงครามเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในชีวิต บรรดากษัตริย์และขุนนางได้รับการฝึกให้เป็นนักรบในยามสงคราม แม้ว่าชาวกรีกจะทำสงครามเกือบตลอดเวลา แต่พวกเขาก็สามารถสร้างสรรค์อารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอารยธรรมหนึ่งของโลกก็ว่าได้ เช่น กีฬาโอลิมปิก เป็นการใช้เวลาว่างที่นิยมแพร่หลายในหมู่ผู้ชายกรีก ซึ่งจะมีการแข่งขันทุกๆสี่ปีที่เมืองโอลิมเปีย โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเทศกาลเฉลิมฉลองเทพซูส (Zeus) เจ้าแห่งเทพทั้งหลาย ส่วนปรัชญาประชาธิปไตยก็ก่อร่างมาจากชาวกรีกในนครเอเธนส์นี่เอง บรรดานักปรัชญาระดับโลกที่มีชื่อเสียงอย่างโสเครติส เพลโต และอริสโตเติล ล้วนแล้วแต่เป็นชาวกรีกทั้งสิ้น
สัมผัสอารยธรรมกรีกด้วยการเดินทางท่องเที่ยวใน กรุงเอเธนส์ (Athens) ที่เป็นเมืองหลวงประเทศกรีซ ชื่อของเอเธนส์นี้ตั้งตามชื่อของเทพีแห่งปัญญาอันมีนามว่า อะทีน่า (Athena) ซึ่งตามตำนานเทพของกรีกเล่าว่า ชาวเมืองได้ร้องขอให้เธอเป็นเทพีอุปถัมภ์เมือง เมืองนี้จัดว่าเป็นนครโบราณที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลกสร้างขึ้นเมื่อหลายพันปีก่อนคริสตกาล และเป็นแหล่งกำเนิดของระบบประชาธิปไตยในปัจจุบัน  ทั้งเป็นขุมทองแหล่งนักปรัชญาดังอย่างโสเครตีส เพลโต และอริสโตเติล อันเป็นเสาหลักของแนวปรัชญาตะวันตกมาถึงปัจจุบัน 

ด้วยความหลากหลายของประเทศในแถบคาบสมุทธบอลข่าน ทำให้แหล่งท่องเที่ยวที่เป็นไฮไลท์มีมากเกินบรรยาย อาทิ

อะโครโปลิส ( Acropolis ) 
ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาผาหินปูนที่สูง 156 เมตร อันเปรียบเสมือนมงกุฎของกรุงเอเธนส์ คำว่า “อะโครโปลิส” แปลว่า เมืองในที่สูง ในสมัยโบราณเมืองของกรีกส่วนใหญ่จะมีอะโครโปลิสเป็นส่วนประกอบหลักเสมอ เพราะใช้เป็นที่หลบภัยยามถูกข้าศึกรุกราน เนื่องจากตั้งอยู่บนเขาสูงมีชัยภูมิที่ดีและเป็นจุดปลอดภัยที่สุดในเมือง อะโครโปลิสแห่งกรุงเอเธนส์สามารถมองเห็นได้ชัดเจนจากทุกพื้นที่โดยรอบ ท่านจะได้ชม โรงละครกลางแจ้ง Theatre of Dionysus และ Theatre of Herod Atticus, ทางเข้า Propylaia ทางเข้ามหึมาที่มีเสาหินต้นใหญ่เรียงราย, วิหาร Temple of Athena Nike และวิหาร Temple of Erechtheion ตามลำดับ

วิหารพาเธนอน 
เป็นวิหารหินอ่อนอลังการใหญ่โตสมกับที่เป็นสถาปัตยกรรมที่มีชื่อเสียงของโลกซึ่งใช้เวลาก่อสร้างถึง 15 ปีเริ่มตั้งแต่ 447 ปีก่อนคริสตกาล เพื่อใช้เป็นที่ประดิษฐานของรูปปั้นเทพีอทีน่ามีขนาดสูง 12 เมตรประดับด้วยงาช้างและทองคำ รอบวิหารด้านบนตกแต่งไปด้วยภาพหินอ่อนแกะสลักนูนสูงและรูปปั้นนูนสูงทั้งสี่ด้าน ปัจจุบันภาพแกะสลักเหล่านั้นแทบไม่เหลือร่องรอยให้เห็น แต่มีส่วนหนึ่งถูกเก็บเอาไว้ในพิพิธภัณฑ์


เมืองคอพริซิซา (Koprivshtitsa) 
ตั้งอยู่ใจกลางเทือกเขา Sredna Gora ห่างจากเมืองโซเฟียซึ่งเป็นเมืองหลวงของประเทศบัลแกเรียไปทางทิศตะวันออก มีระยะทางราว 108 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางราว 2 ชั่วโมง เมืองคอพริซิซา 
ได้ถูกประกาศให้เป็นเมืองพิพิธภัณฑ์เพียงแห่งเดียวของประเทศบัลแกเรียในปีค.ศ.1952 และในเวลาต่อมาเมื่อปีค.ศ.1971 ถูกจัดให้เป็นแหล่งอนุรักษ์ด้านสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ที่มีอยู่มากถึง 388 แห่ง เมืองนี้จึงได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นเขตอนุรักษ์งานสถาปัตยกรรมแห่งชาติในปีค.ศ.1978 และจัดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอีกแห่งหนึ่งของบัลแกเรีย 

สุสานโบราณเทรเซียน 
คือสุสานที่เก่าแก่ตั้งแต่ยุคเฮลเลนิสติก ถูกค้นพบครั้งแรกโดยทหารบัลแกเรียในปีค.ศ.1944 บริเวณที่ตั้งสุสานปัจจุบัน อยู่ในเขตเมืองหลวงเก่าเซฟโตโปลิสในสมัยของพระเจ้าเซฟเตสที่ 3 กษัตริย์แห่งเทรเซียน ภายในสุสานมีภาพเขียนสีโบราณตามฝาผนังและเพดานที่สะท้อนวัฒนธรรมและประเพณีการฝังศพของชาวเทรเซียน อาทิ ภาพวาดที่มีกษัตริย์เทรเซียนและชายาประทับอยู่ท่ามกลางรายล้อมด้วยนางกำนัลและเหล่าทหาร รวมถึงภาพการทำเหล้าองุ่น ภาพการขี่ม้า ภาพเล่นดนตรี และมีลวดลายตกแต่งทรงเรขาคณิตที่วาดคั่นภาพเป็นชั้นๆ ทั้งสีและลายเส้นยังคงชัดเจนแม้ผ่านกาลเวลามานับพันปีควรค่าแก่การเป็นแหล่งมรดกโลกอีกแห่งหนึ่ง


ศูนย์วัฒนธรรมตราการ์ต (Trakart Cultural Center) 
เป็นสถานที่เก็บรวบรวมพื้นงานโมเสกที่มีลวดลายสวยงามหลากหลายชิ้นงานที่สะท้อนย้อนถึงอดีตว่ามีช่างฝีมือมากมายในเมืองฟิลลิปโปโปลิสในยุคนั้น

อารามริล่า 
ที่ตั้งอยู่ท่ามกลางทิวเขาทอดยาวยอดเขาสูงถูกปกคลุมด้วยหิมะบนภูเขาริล่าชื่อเดียวกันกับอารามในระดับความสูง 1,147 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล อารามริล่าถูกสร้างขึ้นในช่วงปีคริสต์ศตวรรษที่ 10 มีการก่อสร้างเพิ่มเติมและปรับปรุงไปตามกาลเวลาในแต่ละยุคสมัยจนถึงครั้งสุดท้ายในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 หมู่อารามขนาดใหญ่กว้างถึง 8,800 ตารางเมตรที่งดงามด้วยสถาปัตยกรรมแบบบัลแกเรียนเรอเนสซองส์ มองดูคล้ายศิลปะมุสลิมผสมยุโรปที่มีเอกลักษณ์ ภายในอารามมีภาพวาดสีสันสดใสบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับศาสนาคริสต์และคำสอนตามพระคัมภีร์ มีภาพไอคอนขนาดใหญ่ทำด้วยทองคำแท้อยู่ตรงกลาง บริเวณในเขตอารามยังเป็นที่เก็บรักษาสมบัติล้ำค่าทางศาสนา หอสมุดที่เก็บรวบรวมตำราโบราณสะท้อนถึงความเป็นเลิศทั้งด้านศิลปะและวรรณกรรมของชาวบัลแกเรีย อารามริล่าแห่งนี้ถือว่าเป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกแห่งหนึ่งของบัลแกเรียและเป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมชั้นนำอันดับหนึ่ง อีกทั้งยังได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ.1983  


เมืองแซนดานสกี้ 
ตั้งอยู่ภาคตะวันตกเฉียงใต้ของบัลแกเรีย เป็นเมืองเชื่อมผ่านที่สำคัญที่อยู่ห่างจากชายแดนของประเทศกรีซเพียง 20 กิโลเมตร และได้ชื่อว่าเป็นเมืองแห่งสปา เพราะมีน้ำพุร้อนตามธรรมชาติกว่า 80 แห่งที่มีอุณหภูมิระหว่าง 42-81 องศาเซลเซียส 

เมืองโอฮิด (Ohrid) ตามสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญที่เป็นไฮไลท์ของเมืองนี้ อันได้แก่   
โบสถ์เซ็นต์โซเฟีย (Church of St. Sophia) 
ในส่วนหลักของโบสถ์สร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 11 และได้สร้างเพิ่มเติมในส่วนอื่นๆในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 14 ซึ่งภายในโบสถ์แห่งนี้โดดเด่นเรื่องภาพจิตรกรรมฝาผนังที่คงรักษาสภาพไว้ค่อนข้างดี ส่วนสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมของโบสถ์ที่สวยงามเป็นเสมือนตัวอย่างผลงานชิ้นเอกของยุคกลางในประเทศมาซิโดเนีย

โบสถ์เซ็นต์โบโกโรดิก้า เปอริฟเลฟต้า (Church of St. Bogorodica Perivlepta) 
โบสถ์คริสต์ที่สร้างขึ้นในปีค.ศ.1295 โดย Progon Zgur บุตรเขยของจักรพรรดิแอนโดรนิคัสที่ 2 เพื่ออุทิศถวายแด่พระแม่มารี Virgin Mary 
ส่วนคำว่า Perivlepta มีความหมายว่า เป็นผู้เห็นผู้ได้ยินผู้รู้ในทุกสรรพสิ่ง จึงเป็นคำสรรเสริญในคุณลักษณะของพระแม่มารี โบสถ์แห่งนี้โดดเด่นในด้านภาพเขียนฝาผนังแบบยุคฟื้นฟูศิลปะ (Renaissance Art) ที่แอบมีการลงลายเซ็นของศิลปินยุคไบแซนไทน์ทั้งสองท่านไว้ในภาพวาดอีกด้วย คือ Mihailo กับ Evtihie

ป้อมปราการซามูอิล (Samuil’s Fortress) 
ปัจจุบันเป็นป้อมปราการเก่าที่ตั้งอยู่ในเขตเมืองเก่าของโอฮิด ซึ่งครั้งหนึ่งเคยเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรบัลแกเรียนที่ 1 สร้างขึ้นในช่วงที่อยู่ใต้การปกครองของท่านซามูอิลในยุคกลาง แต่จากกระบวนการขุดค้นหาวัตถุโบราณของเหล่านักโบราณคดีชาวมาซิโดเนียเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าป้อมปราการแห่งนี้ได้สร้างทับป้อมปราการเดิมที่คาดว่าสร้างโดยพระเจ้าฟิลลิปที่ 2 แห่งมาซิดอนในช่วง 400 ปีก่อนคริสตกาล   

โรงละครกรีกเก่า (Ancient Theatre of Ohrid) 
ซึ่งสร้างขึ้นในช่วง 200 ปีก่อนคริสตกาลและเป็นโรงละครในยุคเฮเลนนิสติกเพียงแห่งเดียวที่พบในมาซิโดเนีย ลักษณะของโรงละครเป็นโรงละครกลางแจ้งตั้งอยู่ในทำเลที่ดีเยี่ยมมีภูเขาสองลูกโอบล้อมซึ่งช่วยป้องกันลมที่อาจรบกวนการควบคุมเสียงในขณะทำการแสดง ในสมัยโรมัน ที่นี่ถูกใช้เป็นสถานที่ประลองกำลังของนักต่อสู้และเป็นลานประหารชีวิตด้วย แต่ปัจจุบันโรงละครแห่งนี้ได้ถูกใช้ให้เป็นสถานที่การแสดงสาธารณะอย่างเช่นการแสดงคอนเสิร์ต การแสดงโอเปร่า การแสดงบัลเล่ต์ เป็นต้น   

โบสถ์เซ็นต์จอห์นคานีโอ (Church of St.John at Kaneo) 
ซึ่งเป็นโบสถ์คริสต์นิกายมาซิโดเนียออโธด๊อกซ์ที่ตั้งอยู่บนหน้าผาเหนือชายหาดคานีโอมองลงไปเห็นทะเลสาบโอฮิด สันนิษฐานว่าสร้างขึ้นในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 สถาปัตยกรรมของโบสถ์แห่งนี้น่าจะได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมตามแบบโบสถ์อาร์มาเนีย ภายในโบสถ์ตกแต่งอย่างโอ่อ่าสวยงามด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังมีสีสันงดงาม โดยเฉพาะภาพวาดของพระแม่มารีและเหล่านักบุญที่บริเวณหน้ามุขของโบสถ์ รวมถึงรูปเคารพไม้แกะสลักที่วิจิตรบรรจง 

เมืองเก่าแห่งเบรัตและป้อมปราการเก่า The Kala 
ราวช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในช่วงยุคกลางที่คงอนุรักษ์ไว้ค่อนข้างสมบูรณ์ดีที่สะท้อนถึงความเจริญรุ่งเรืองโชติช่วงของพวกออตโตมันในยุคกลาง โดยด้านล่างของป้อมปราการจะเป็นโซนเมืองเก่าที่แบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ Mangalem ที่อยู่ทางทิศเหนือของแม่น้ำ ซึ่งเป็นพื้นที่อาศัยของชาวมุสลิมดั้งเดิม และ Gorica ที่อยู่ทางทิศใต้ของแม่น้ำโอซัม เป็นพื้นที่อาศัยของชาวคริสเตียนดั้งเดิม 





Top