ทัวร์โปแลนด์
ทัวร์
ยุโรป
ระยะเวลา
10 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
6-15 เม.ย./ 1-10 พ.ค./ 11-20 ก.ย. / 9-18 ต.ค. 2563
Hilight

ทัวร์โปแลนด์ไปกับโกลบอล ฮอลิเดย์ ขอนำท่าน ทัวร์สาธารณรัฐโปแลนด์  ดินแดนแห่งนกอินทรีขาว ที่มีภูมิประเทศหลากหลาย และประวัติศาสตร์ยุโรปยุคใหม่ที่น่าสนใจ (โปรแกรมทัวร์นี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม) สาธารณรัฐโปแลนด์ (Republic of Poland, หรือ Rzeczpospolita Polska เฌชพอซพอลิต้า โพลิสก้า) ตั้งอยู่ใจกลางทวีปยุโรป ทิศตะวันตกจรดเยอรมนี ทิศใต้จรดสาธารณรัฐเช็กและสโลวาเกีย ทิศตะวันออกจรดยูเครนและเบลารุส ส่วนทิศเหนือจรดทะเลบอลติก ลิทัวเนีย และแคว้นคาลีนินกราดของรัสเซีย โปแลนด์เคยเป็นดินแดนส่วนหนึ่งของรัสเซีย รัฐโปแลนด์ก่อตั้งมากว่า 1,000 ปี ภายใต้การปกครองของกษัตริย์ราชวงศ์เพียซท์ (Piast Dynasty) และถึงยุคทองตอนปลายของคริสต์ศตวรรษที่ 16 ภายใต้ราชวงศ์ยาเยลโลเนียน (Jagiellonian Dynasty) เป็นยุคที่โปแลนด์เป็นหนึ่งในประเทศที่ร่ำรวยและ มีอำนาจมากที่สุดในยุโรป หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 โปแลนด์กลายเป็นรัฐบริวารที่เป็นคอมมิวนิสต์ของสหภาพโซเวียตภายใต้ชื่อสาธารณรัฐประชาชนโปแลนด์ (People's Republic of Poland) และในปี พ.ศ. 2547 ได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสหภาพยุโรปผู้คนส่วนมากรู้จักโปแลนด์จากความโหดร้ายของนาซีเยอรมันที่กระทำต่อชาวยิวในการสังหารหมู่ระหว่าง ปีค.ศ.1930-1940 หรือจากภาพยนตร์เรื่อง "Life is Beautiful"  ที่บอกเล่าเรื่องราวอันหดหู่ได้อย่างน่าประทับใจ  

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    กรุงเทพฯ – เฮลซิงกิ
    • 20.30 น.  คณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารระหว่างประเทศ ชั้น 4 เคาน์เตอร์ G  สายการบิน
      ฟินน์แอร์ (Finn Air - AY) เจ้าหน้าที่ของบริษัทฯ คอยให้การต้อนรับและอำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      23.35 น. นำท่านออกเดินทางสู่คราคูฟ ประเทศโปแลนด์ โดยเที่ยวบินที่ AY 144 (23.35-06.05+1) (ใช้เวลาบินประมาณ 11 ชั่วโมง 10 นาที)  เปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ ออกเดินทางต่อโดยเที่ยวบินที่ AY 1161 (08.40-09.40) (ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง )
  • Day 2
    เฮลซิงกิ – คราคูฟ ( Krakow)
    • 06.05 น. ถึงสนามบินเฮลซิงกิ  ประเทศฟินแลนด์ เพื่อรอเปลี่ยน
      08.40 น. ออกเดินทางสู่ เมืองคราคูฟ ประเทศโปแลนด์ โดยเที่ยวบินที่ AY 1161 (ใช้เวลาบินประมาณ 2 ชั่วโมง )
      09.40 น. ถึงเมืองคราคูฟ (Krakow) ประเทศโปแลนด์ เมื่อนำท่านผ่านพิธีศุลกากรและด่านตรวจคนเข้าเมือง และรับสัมภาระเรียบร้อยแล้ว นำท่านสู่เมืองคราคูฟ (Krakow) เมืองหลวงเก่าของโปแลนด์ยาวนานกว่า 500 ปี เมืองนี้ยังคงความสมบูรณ์เพราะไม่ได้ถูกทำลายด้วย  การทิ้งระเบิดเช่นเดียวกับกรุงปรากในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เราได้เห็นงานสถาปัตยกรรมที่งดงามจากช่างฝีมือในยุคเก่า   (ยูเนสโก้ได้รับเมืองคราคูฟเข้าโครงการมรดกโลกแล้ว)  นำท่านเดินชม ย่านเมืองชาวยิว Kazimierz และร้านรวงต่างๆ ที่ยังอนุรักษ์ไว้เพื่อระลึกถึงความเป็นอยู่ของชาวยิว
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านเดินขึ้น เขาวาเวล (The Wawel)  ชม มหาวิหารวาเวล (Wawel Catherdral) สร้างระหว่างปี ค.ศ.1320-1364 บนพื้นที่ของโบสถ์โรมันในศตวรรษที่ 11  มหาวิหารดังกล่าวใช้เป็นสถานที่ราชาภิเษกและสุสานของกษัตริย์โปลนานหลายศตวรรษ รวมทั้งเป็นสุสานของบรรพบุรุษชาวโปลด้วย นำชมพระราชวังหลวง (Royal Castle) ซึ่งสร้างขึ้นใหม่ในแบบเรเนอซองส์ โดยกษัตริย์ซิกิซมันด์ที่ 1 หลังจากพระราชวังเดิมแบบกอธิคถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ.1499 และถูกไฟไหม้อีกครั้งในศตวรรษที่ 16  ด้านทิศเหนือจึงมีการสร้างใหม่ในแบบบาร็อค  
      นำท่านชมจตุรัสโบราณ (Market Square) ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในยุโรปสมัยกลาง ขนาดความกว้าง 4 เฮคเตอร์สร้างในศตวรรษที่ 14 ประชาชนได้พร้อมใจกันให้จตุรัสแห่งนี้เป็นสถานที่เฉลิมฉลองพิธีราชาภิเษกของกษัตริย์โปล อีกทั้งใช้ในพิธีทางศาสนาตั้งแต่ในอดีต เดินชมอาคารที่งดงามต่างๆ ซึ่งองค์การยูเนสโก้ยกย่องให้เป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรม สภาพบ้านเรือนได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ชมความรุ่งเรืองในอดีต  อาคารการค้าผ้า (Cloth Hall) ที่ถือว่าเป็นจุดหลักทางการค้าในสมัยนั้น  จวบจนกระทั่งทุกวันนี้อาคารนี้ก็ยังใช้เป็นสถานที่รับรองเชื้อพระวงศ์และเหล่าอาคันตุกะของเมือง ผ่านชมป้อมปราการ Babacan อายุกว่า 600 ปี ปกปักษ์รักษาเมืองที่หลงเหลืออยู่ แนวกำแพงเหมืองเดิมเป็นที่ชื่นชอบของศิลปินที่จะมาแสดงผลงาน และประตูทางเข้าเมือง (Florian Gate) ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 ชมแท่นบูชาที่มีชื่อเสียงของ โบสถ์เซ็นต์แมรี (Mariacki Church) ที่ทำด้วยไม้แกะสลักมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 14 ท่านสามารถช้อปปิ้งเลือกหาของที่ระลึกได้ที่นี่
      นำท่านชมอดีตเขตคอมมิวนิสต์ Nowa Huta ที่สร้างขึ้นหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ใกล้กับโรงงานเหล็กที่มีขนาดใหญ่กว่าใจกลาง
      เมืองคราคูฟถึง 5 เท่า เขตนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสร้างเป็นต้นแบบของ
      เมืองคอมมิวนิสต์ ในยุคที่รัสเซียเข้ามาปกครอง เรียกว่าเมืองที่ไม่มี
      พระเจ้า หรือ "City without God" คือห้ามสร้างโบถส์ แต่ได้รับการ
      ต่อต้าน เพราะประชาชนต้องการสร้างโบถส์ ต่อมาพรรคโซลิดาริตี้
      มีความเข็มแข็ง จึงเกิดการลุกขึ้นประท้วงและนำไปสู่การเปลี่นแปลงเพื่อ
      เป็นประชาธิปไตยในโปแลนด์   ชมโบถส์ที่สร้างขึ้นด้วยความร่วมมือของชาว
      โปแลนด์ที่มีสถาปัตยสถาปัตยกรรมร่วมสมัย ต่างจากโบถส์อื่นๆ ผนังด้าน  นอกประกอบด้วยหินแม่น้ำหลายล้านก้อนที่ชาวบ้านร่วมกันนำมาเพื่อสร้างโบถส์แห่งนี้  
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      นำท่านเช็คอินที่โรงแรม Grand Ascot Hotel agoda หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    คราคูฟ – ค่ายกักกันเอาชวิทส์
    • เช้า  บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม
      หลังจากนั้น ออกเดินทางสู่ เมืองออสเวียชีม (Oswiecim) ระยะทาง ประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ  1.30 ชั่วโมง
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      ช่วงบ่าย นำท่านเข้าชม พิพิธภัณฑ์ค่ายกักกันเอาชวิทส์ (Auschwitz Concentration Camp) ซึ่งปัจจุบันดูแลโดยรัฐบาลของโปแลนด์ ซึ่งเริ่มจากเยอรมันเข้ายึดโปแลนด์ได้ในปลายปี ค.ศ.1939 ความต้องการจะหาค่ายกักกันเชลยศึกต่างๆ จนมาพบสถานที่ที่รัฐบาลโปแลนด์ต้องการก่อสร้างเป็นสถานที่คุมขังนักโทษการเมือง จึงได้ดัดแปลงตามความต้องการของนาซีและเริ่มต้นใช้ในช่วงมิถุนายน ค.ศ.1940 เป็นต้นมา ท่านจะได้เห็นภาพถ่ายต่างๆ ของค่ายกักกัน รวมทั้งของจริงที่มีการเก็บรักษาไว้ภายในตึกต่างๆ ถึง 20 อาคาร และท่านจะได้เห็นของใช้ต่างๆ ของเชลยชาวยิวที่ถูกหลอกให้มาอยู่ที่นี่ อาทิ กระเป๋าเดินทาง รองเท้า แปรงสีฟัน หวี และเส้นผม ที่มีน้ำหนักรวมกว่า 7 ตัน และชมห้องอาบน้ำ ห้องที่พวกนาซีใช้สำหรับกำจัดเชลยโดยใช้แก๊สพิษสังหารหมู่ พร้อมชมภาพยนตร์สั้นๆ ที่ถ่ายทำโดยทหารรัสเซียเมื่อครั้งเข้ายึดค่ายนี้คืนจากเยอรมัน กล่าวกันว่า ณ สถานที่นี้มีคนตายกว่า 1 ล้าน 5 แสนคน โดยเกือบทั้งหมดเป็นชาวยิว สถานที่แห่งที่ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 1979  เมื่อได้เวลาพอสมควร เดินทางกลับสู่เมืองคราคูฟ ระยะทาง ประมาณ 70 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ  1.30 ชั่วโมง
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      นำท่านเช็คอินที่โรงแรม Grand Ascot Hotel agoda หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    คราคูฟ – เวียลิซก้า – ซาโคพาเน่
    • เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      เดินทางสู่ เมืองเวียลิซก้า (Wieliczka)  (ระยะทางประมาณ 14 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 30 นาที) 
      ชมเหมืองเกลือเก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดของโปแลนด์ เป็นเหมืองใต้ดินที่มหัศจรรย์ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และ รัฐบาลโปแลนด์ได้ประกาศให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวเมื่อปี ค.ศ.1994  นำท่านเดินลงสู่ใต้ดินของ เหมืองเกลือ
      เวียลิซก้า (Wieliczka Salt Mine) โดยชั้นที่ลึกที่สุดจะลึกถึง 327 เมตร ซึ่งที่มาของเกลือนั้นเกิดตามธรรมชาติ มาประมาณ 20 ล้านปี ซึ่งในอดีตเกลือมีค่าดุจทองคำเพราะใช้ในการถนอมรักษาอาหารมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 13
      องค์การยูเนสโก้ได้ขึ้นทะเบียนเหมืองเกลือแห่งนี้ให้เป็นหนึ่งในมรดกโลกในปีค.ศ.1988 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน                                บ่าย                  เดินทางต่อสู่ เมืองซาโคพาเน่ (Zakopane)  (ระยะทางประมาณ  96 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ  2 ชั่วโมง)                                        
      จัดเป็นเมืองที่สูงที่สุดในประเทศโปแลนด์ เพราะตั้งอยู่ในเทือกเขาแทท-ทร่า (Tatra Mountain) ซึ่งมีความสูงระหว่าง 750 –1,000 เมตร 
      จากระดับน้ำทะเล เป็นศูนย์กลางของการแข่งขันกีฬาฤดูหนาวหลายชนิด 
      อีกทั้งยังเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมประเพณีต่างๆ มากมายของชาว
      โปแลนด์อีกด้วย เมืองซาโคพาเน่มีประชากรประมาณ 28,000  คน 
      แต่ในแต่ละปีมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาท่องเที่ยวและชมความงามของเมืองนี้นับล้านๆ คน  
      นำท่านเดินชมหมู่บ้านซาโคพาเน่ ที่บ้านและโบถส์ส่วนใหญ่ทำจากไม้ 
      และเป็นสถาปัตยกรรม เฉพาะในแถบนี้ 
      จากนั้นนำท่านขึ้นรถไฟไปยัง ยอดเขากูบาวุฟกา (Gubalowka) หรือ Mount Giewont บนความสูง 1,120 เมตร ซึ่งบนนี้เอง ท่านจะได้ชมทัศนียภาพขอเมืองซาโคพาเน่ที่ถูกโอบล้อมไว้ด้วยเทือกเขาแทท-ทร่าแบบพาโนรามา 
      จากนั้นอิสระให้ท่านชมเมืองซาโคพาเน่ เมืองรีสอร์ทเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากทั้งใน ช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อน อิสระให้ท่านชมย่าน ถนนครูพูฟกี้ (Krupowki Street) ถนนที่ถือว่าเป็นที่นิยมมากที่สุดของเมือง โดยตลอดสองข้างทางนั้น นักท่องเที่ยวจะได้พบกับเหล่าอาคารร้านค้า ร้านอาหาร รวมไปถึงการแสดงรื่นเริงของนักแสดงและมีเวลาให้ท่านได้แวะซื้อของที่ระลึก ซึ่งมีความโดดเด่นไม่แพ้เมืองอื่นๆ
      ค่ำ บริการอาหารค่ำ 
      เข้าสู่ที่พัก โรงแรม Grand Stamary – 4*  หรือเทียบเท่า
  • Day 5
    ซาโคพาเน่ - วรอท-ซวัฟ
    • เช้า บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
              นำท่านออกเดินทางสู่ เมืองวรอท-ซวัฟ (Wroclaw) (ระยะทางประมาณ 368.5 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4.30- 5  ชั่วโมง )                                                                                                                                                กลางวัน    รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย ชมอดีตเมืองหลวงแห่งแคว้นซิลิเซีย ที่เคยถูกครอบครองโดยราชวงศ์ต่างๆ ก่อนถูกควบรวมกับโปแลนด์   ในปีค.ศ.1945 ต่อมาชาวโปลจากฝั่งตะวันออกหลั่งไหลเข้ามาอยู่ที่วรอท-ซวัฟเป็นจำนวนมาก และได้นำวัฒนธรรมหลายอย่างมาเผยแพร่ ในปี ค.ศ. 1980 ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำแรงงานได้ไปรวมกันสไตรค์ที่เมืองกดานคซ์ นำโดย เลค วาเวนซา ต่อมาวรอท-ซวัฟถูกตั้งเป็นเมืองศูนย์กลางการต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์  ชมออสตรอฟ ทูมสกี้ (Ostrow Tumski) หรือเกาะมหาวิหาร สร้างโดยบิชอปคนแรกแคว้นซิลิเซีย ในสไตล์กอธิค                                      
      โดยสร้างก่อนการสร้างพระราชวัง จึงได้กลายเป็นศูนย์กลางทางศาสนาจนถึงปัจจุบัน เดินชมย่านเมืองเก่าซึ่งมีอาคาร สถาปัตยกรรมกอธิคและอาร์ตนูโวสีสันสดใส และคึกคักด้วยร้านค้าที่รอต้อนรับนักท่องเที่ยว                                                                                                                                               
      ค่ำ บริการอาหารค่ำ                                                                                                                                          เข้าสู่ที่พัก โรงแรม  Q Plus Hotel – 4*  หรือเทียบเท่า
  • Day 6
    วรอท-ซวัฟ - เชสโทโชว่า – ทอรุน
    • เช้า  บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      ท่านออกเดินทางสู่ เมืองเชสโทโชว่า (Czestochowa)  
      (ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลา
      ประมาณ 3 ชั่วโมง ) 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านชมเมืองแห่งศาสนาคริสต์ของชาวโปแลนด์ ซึ่งส่วนใหญ่จะนับถือคริสต์ศาสนา ในนิกายโรมันคาทอลิก นำชมวิหารยัสน่า กอร่า (Jasna Gora) ซึ่งเป็นวิหารที่ประดิษฐานของรูปนักบุญมาดอนนาสีดำ (Black Madonna) ซึ่งคนทั้งโลกที่นับถือคริตส์รู้จักเป็นอย่างดีด้วยปาฏิหารย์ที่เล่าต่อกันมา พระรูปศักดิ์สิทธิ์นี้มีจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ว่าเป็นภาพที่นักบุญลูกาได้วาดไว้บนแผ่นไม้ที่ต่อกัน
      3 แผ่น และไม้ทั้งสามแผ่นนี้ได้มาจากโต๊ะที่ใช้อยู่ในครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ 
      (เยซู มารีอา โยเซฟ) ที่เมืองนาซาเร็ธ ตามตำนานเชื่อกันว่าเป็นโต๊ะที่
      พระเยซูเจ้าและนักบุญโยเซฟใช้ทำงานช่างไม้และใช้เป็นโต๊ะอาหารของ
      ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ด้วย ในปี ค.ศ. 1382 ซึ่งเป็นสมัยของเจ้าชาย Ladislaus                                          
      แห่งรูเธเนีย พวก Tartar ได้โจมตีพระราชวังที่ประดิษฐานพระรูปและธนู                                                               ดอกหนึ่งได้แทงทะลุพระรูปบริเวณพระศอ เจ้าชายจึงได้นำพระรูปไปประดิษ                                                          ฐานที่ Mount of Lig(Jasna Gora) ในประเทศโปแลนด์ ในปี ค.ศ.1430 พระรูป                                          ถูกทำลายบางส่วนโดยกลุ่มโจรพวกฮัสไซท์จากแคว้นโบฮิเมียและโมราเวียที่ได้เข้ามารุกรานเพื่อหวังจะปล้นเอาสมบัติล้ำค่า แต่เมื่อค้นหาทรัพย์สมบัติไม่ได้ตามที่ต้องการ จึงได้ปล้นเอาศาสนภัณฑ์ที่ใช้ในพิธีกรรมไป   แล้วดึง                                         พระรูปนักบุญมาดอนนาสีดำลงมาจากแท่นบูชา แกะเอาอัญมณี และเครื่องทองที่ประดับพระรูปไปจนหมด เท่านั้นยังไม่พอ  พวกโจรยังได้ใช้ดาบกรีดพระพักตร์ จนปรากฏเป็นทางยาวตลอดแก้มขวาแล้วทุบ พระรูปจนแตกหัก แต่ก่อนที่พวกโจรจะทำลายได้มากกว่านั้นก็ได้ล้มลงสิ้นใจด้วยความเจ็บปวดทรมาน รอยกรีดที่พระพักตร์ปรากฏเป็นสีแดงคล้ายรอยเลือดเห็นได้จนทุกวันนี้ ส่วนตัวโบสถ์สร้างในศตวรรษที่ 14  ในปี ค.ศ.1382  โดยการบริจาคที่ดินของท่านดยุคแห่งโอปอล พร้อมทั้งได้มอบรูปที่รู้จักกันโดยทั่วไปว่า  “นักบุญมาดอนนาสีดำ” ซึ่งในขณะที่มอบให้ภาพนี้ก็มีอายุหลายร้อยปี จากการพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์พบว่าเป็นรูปในยุคไบเซนไทน์ ตัววิหารได้รับการต่อเติมหลายครั้งในหลายศตวรรษต่อมา  วิหารยัสนา กอราไม่ได้เป็นเพียงแค่ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดของชาวโปล แต่ยังเป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้เพื่อเอกราช ซึ่งคุณพ่อออกัสตีนนำผู้คนต่อต้านการยึดครองของสวีเดน สำเร็จในปี ค.ศ.1665 จึงไม่น่าแปลกที่จะได้เห็นนักแสวงบุญหลายล้านคนมาแสวงบุญที่วิหารแห่งนี้ด้วย                                                     เดินทางสู่ เมืองทอรุน (Torun)  (ระยะทางประมาณ 286 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ 3 ชั่วโมง) เมืองการท่องเที่ยวที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งในโปแลนด์ หลังจาก ที่องค์การยูเนสโก้ประกาศจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อเมืองมรดกโลก  ชื่อเมืองทอรุนจึงปรากฏอยู่ในแผนที่เมืองท่องเที่ยวติดอันดับในทวีปยุโรป โด่งดังไม่น้อยไปกว่าเมือง คราคูฟ (Krakow) เมืองพอซนัน (Poznan) หรือเมืองวรอท-ซวัฟ (Wroclaw)  ภายในตัวเมืองมีอนุสาวรีย์ทางประวัติศาสตร์อันสวยงามอยู่มากมาย สิ่งที่น่าตื่นตาตื่นใจที่สุดเมื่อท่านมาเยือนเมืองทอรุนคือทิวทัศน์สวยงาม อันเป็นผลมาจากการอนุรักษ์รักษาเป็นอย่างดีของสถาปัตยกรรมและอาคารเก่าแก่  ซึ่งความสำเร็จนี้ส่วนหนึ่งมาจากการควบคุมดูแลภายใต้คณะศิลปกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัย Copernicus  เมืองทอรุนสร้างโดยอัศวินเยอรมัน คริสเตียนนิกายทูทอนิค (Teutonic Order) เฮอมานน์ ฟอน บาล์ค โดยสร้างเป็นป้อมในกลางศตวรรษที่ 13 (ค.ศ.1231) เพื่อเป็นศูนย์กลางการพิชิตดินแดนยุโรปเหนือ/ตะวันออก และเปลี่ยนให้คนในพื้นที่รับศาสนาคริสต์เป็นศาสนาท้องถิ่น ด้วยที่มั่นอันแข็งแรงเป็นแรงดึงดูดให้ชาวโปลและชาวเยอรมัน แห่กันมาอยู่ในป้อมแห่งนี้ และต่อมาในปี ค.ศ. 1280 ก็ได้พัฒนากลายไปเป็นพันธมิตรการค้าของกลุ่มฮัมเซียติค ในอีกศตวรรษต่อมาก็ปรากฎว่าเมืองนี้ร่ำรวยจากการค้า สังเกตได้จากบ้านเรือนถูกสร้างขึ้นมามากในศตวรรษที่ 1-15 รวมทั้งบ้านของนักดาราศาสตร์ที่มีชื่อเสียง นิโคลาส โคเปอร์นิคุส เป็นตึกสูง 5 ชั้นประดับหน้าบ้านด้วยลวดลายงดงาม ย่านเมืองเก่าทอรุนถูกบันทึกลงในรายการ 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโปแลนด์ในปี 2007 และเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิคได้จัดอันดับให้ย่านเมืองเก่าทอรุน (Torun Old Town) ตลาด (Torun Old Market) และศาลาว่าการ (Town Hall) เป็นหนึ่งใน 30 สถานที่ที่สวยงามที่สุดในโลกอีกด้วย                                                           
      ค่ำ บริการอาหารค่ำ  เข้าสู่ที่พัก โรงแรม  Bulwar Hotel, Torun 4* หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    ทอรุน - กดานซค์
    • เช้า  บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      นำท่านเที่ยวในเมืองทอรุน นำท่าน ชมศาลาว่าการ (Town Hall) หนึ่งในอาคารศาลากลางแบบกอธิคที่ได้รับยกย่องว่าสวยที่สุดในยุโรป อาคารแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นราวๆ ปี 1274 และได้มีการขยับขยายและสร้างใหม่อีกครั้ง ในช่วงระหว่างปีค.ศ.1391-1399 ภายในมีการจัดแสดงแกลลอรี่ที่เกี่ยวกับศิลปะกอธิค และนิทรรศการต่างๆ เกี่ยวกับเมืองทอ

      รุน จากนั้น มุ่งหน้าไปยัง โบสถ์พระวิญญาณ (Holy Spirit Church) 
      ซึ่งตั้งอยู่ใกล้ๆ กับศาลาว่าการ เป็นโบสถ์ที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปลาย
      ศตวรรษที่ 18 ในสไตล์บาร็อค ปัจจุบันเป็นอีกจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวนิยม
      แวะมาเยี่ยมชมเสมอๆ ต่อด้วยนำท่านไปชมความงดงามของ โบสถ์เซ็นต์แมรี่ 
       (St. Mary’s Church) สร้างขึ้นในศตวรรษ ที่ 14เป็นหนึ่งในอาคารสิ่งก่อสร้าง
      ที่มีความโดดเด่นทางด้านศิลปะและสถาปัตยกรรมมากแห่งหนึ่งของโปแลนด์ 
      และยังถือว่าเป็นหนึ่งในโบสถ์ที่มีห้องโถงสูงที่สุดในยุโรปกลางอีกด้วย  จากนั้นอิสระให้ท่านลัดเลาะไปตามย่านเมืองเก่าทอรุน เพื่อไปชมเหล่าอาคารบ้านเรือนในสมัยยุคกลาง ที่ยังคงได้รับการอนุรักษ์ เอาไว้จนถึงปัจจุบัน ซึ่งในอดีตถูกใช้เป็นที่อยู่อาศัยของเหล่าขุนนาง โดยอาคารแต่ละหลังนั้นมีประวัติความเป็นมาที่ค่อนข้างแตกต่างกัน ได้รับการตกแต่งอย่างงดงาม ไม่ว่า  จะเป็นแบบกอธิคหรือบาร็อค ซึ่งล้วนแล้วแต่ได้รับการ ประดับประดาด้วยลายปูนปั้นและหินแกะสลักที่สวยงาม    
      เดินทางสู่ เมืองกดานซค์ (Gdansk) (ระยะทางประมาณ 168 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ   1.30 ชั่วโมง)  เมืองศูนย์กลางด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และแหล่งท่องเที่ยวเมืองนี้ตั้งอยู่ริมฝั่งทะเลโปแลนด์ โดยมีการร่างต้นฉบับแบบเมืองไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1343 ชาวโปแลนด์จึงได้สร้างเมืองขึ้นใหม่ตามแบบสถาปัตยกรรมในร่างต้นฉบับเมืองเดิมและเป็นผลสำเร็จหลังสงครามโลกครั้งที่ 2                                                                                                             
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านย้อนประวัติศาสตร์สู่ช่วงโปแลนด์ตกอยู่ใต้การปกครองของรัสเซียด้วยระบอบคอมมิวนิสต์ ชมอาคารที่ทำการของพรรคโซลิดาริตี้ในอดีต สถานที่ที่ผู้นำแรงงาน เลค วาเวลซา ผู้ลุกขึ้นต่อสู้ประท้วงเพื่ออิสรภาพในที่สุด และได้รับการเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีคนแรกของโปแลนด์ (ค.ศ. 1990-1995) และชมอนุสาวรีย์ระลึกถึงผู้เสียชีวิตที่บริเวณฐานของอนุสาวรีย์จะมีรอยฝ่ามือของพระสันตปาปาจอนห์ปอลที่ 2 ประทับไว้                   นำท่าน ชมเมืองกดานซค์ (Gdansk) โดนเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอย  ชมโบสถ์เซ็นต์แมรี่ (Church of St. Mary) ซึ่งเป็นโบสถ์ที่ก่อสร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นสถาปัตยกรรมโบราณตั้งแต่ยุค ปี 1500 ตั้งตระหง่านเด่นอยู่ในย่านเมืองเก่าของกดานซค์ จากนั้นเดินชมตลาด ย่านการค้า จนถึงทางเข้าประตูเมืองเก่า (Green Gate) ท่านจะพบกับถนนหลักของกดานซค์ Dlugi Targ ถนนที่มีเสน่ห์ที่สุดของยุโรปตอนเหนือได้ที่นี่เดินเข้าสู่ ย่านเมืองเก่าของกดานซค์  บริเวณประตูทางเข้าจะมีภาพเมืองก่อนและหลังสงครามโลกให้ท่านได้ชม  ถัดมาบนถนนคือ ศาลาว่าการเมืองกดานซค์ (Main Town Hall) หอคอยที่สูงที่สุดในเมืองกดานซค์ คือสูงถึง 81.5 เมตร สร้างตามแบบสถาปัตยกรรมสไตล์กอธิคและเรเนอซองซ์  บริเวณลานกลางเมืองเก่า ท่านจะพบกับน้ำพุรูปเทพโพไซดอน (Neptune Fountain) นำท่าน ชมพิพิธภัณฑ์ Solidarnosc จัดแสดงประวัติศาสตร์และ ศิลปะที่มาของเมืองกดานซ์อันมั่งคั่งและเป็นศูนย์กลางทางการค้าทางเรือกับประเทศอื่นๆ ในยุโรปบนคาบสมุทรบอลติก มีเวลาให้ท่านเดินเล่น เก็บภาพอาคารบ้านเมืองที่เรียบร้อยและสวยงาม       
      ค่ำ บริการอาหารค่ำ                                                                                                                                                            
      เข้าสู่ที่พัก โรงแรม  Admiral Hotel, Gdnask  -  4* หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    กดานซค์ – มัลบอร์ค - กรุงวอร์ซอ
    • เช้า  บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      ออกเดินทางสู่ เมืองมัลบอร์ค (Malbork) (ระยะทางประมาณ 67 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง) เพื่อชมปราสาทมัลบอร์ค ปราสาทยุคกลางสไตล์กอธิคสร้างด้วยอิฐที่ใหญ่ที่สุดในโลก
      นำท่าน ชมปราสาทมัลบอร์ค (Malbork Castle) ป้อมยุคกลางที่ยิ่งใหญ่และมีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรป สร้างในศตวรรษที่ 13 แต่เดิมเป็นวิหารของนักรบศาสนาคริสต์ นิกายทูทอนิค โดยมีอาคารเพียง 2 ปีก คือปีกทิศเหนือกับทิศตะวันตก หลังปี ค.ศ.1309 นิกายดังกล่าว เริ่มเสื่อมลง หลายป้อมทางด้านตะวันออกถูกโจมตีเสียหาย ทำให้ผู้นำนิกาย
      ดังกล่าวได้ตัดสินใจครั้งสำคัญที่จะย้ายที่พักชั่วคราวจากเวนิสไปยังแคว้น รัสเซียซึ่งลัทธิดังกล่าวยังมีอิทธิพลสูงอยู่ ดังนั้น เมืองมัลบอร์คจึงได้รับคัดเลือก ให้เป็นเมืองหลวงลัทธิดังกล่าวเนื่องจากที่ตั้งอยู่ใจกลางเขตอิทธิพลซึ่งถือว่าเป็นจุด  ที่มีความปลอดภัยสูง ตัววิหาร ได้ถูกต่อเติมให้เป็นปราสาทในช่วง 20 ปีต่อมา รวมพื้นที่ทั้งสิ้น 20 เฮคเตอร์            (12,500 ไร่) ตัวปราสาทถูกแบ่งออกเป็น 3 พื้นที่ คือ ปราสาทบน ปราสาทกลางและประสาทล่าง   ซึ่งทั้งสามปราสาทแยกกันโดยอิสระ มีระบบป้องกันตนเองอย่าง สมบูรณ์ มีระบบน้ำอิสระแยกขาดจากกัน มีที่เก็บอาหารแยกจากกัน สามารถป้องกันตนเองได้นานหลายปี    หากถูกปิดล้อม แต่เนื่องจากนิกายดังกล่าวได้พ่ายแพ้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในปีค.ศ.1410 ที่กรุนวาลด์ ทำให้มีการเซ็นต์สัญญาสงบศึกในเวลาต่อมา และถูกบังคับให้ออกจากมัลบอร์คในปีค.ศ.1466 ตัวปราสาทถูกทอดทิ้งตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และเสียหายไปตามกาลเวลา ได้รับการบูรณะในศตวรรษที่ 19 และ 20 แต่ก็เสียหายอีกจากสงครามโลกครั้งที่ 2 และได้รับการบรูณะใหม่อีกครั้งดังที่เราได้เห็นกันอยู่ปัจจุบัน และด้วยความยิ่งใหญ่และสำคัญทางด้านศิลปะในยุคกลาง ทำให้ได้รับการคัดเลือกให้เป็นมรดกโลกจากองค์การยูเนสโก้ในปีค.ศ.1997
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย นำท่านเดินทางเข้าสู่เมือง วอร์ซอ  (Warsaw)  ( ระยะทาง  310 กิโลเมตร ใช้เวลาประมาณ  4 ชั่วโมง) เป็นเมืองที่มีอายุเกือบ 700 ปี แต่ก็ยังถูกจัดว่าเป็นเมืองใหม่สำหรับประวัติศาสตร์ของชาติโปแลนด์ กรุงวอร์ซอได้เกิดขึ้นมาจากเดิมที่เป็นป่ามาโซเวียน (Mazovian) เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มขึ้นในปีค.ศ. 1939 ชาวเมืองได้ร่วมกันปกป้องประเทศไว้อย่างกล้าหาญ จนในที่สุดก็เกิดการจราจลและการก่อความไม่สงบขึ้นในโปแลนด์ การพยายามต่อต้านความไม่สงบ ถูกปราบปรามอย่างโหดร้ายป่าเถื่อน กองกำลังทหารนาซีได้เผาทำลายล้างอาคารต่างๆ ในเมืองหลวงไปถึง 96 เปอร์เซ็นต์ หลังสงครามจบสิ้น ชาวโปลได้ช่วยกันบูรณะซ่อมแซมก่อสร้างเมืองขึ้นมาใหม่ด้วยความมุ่งมั่น และตั้งใจกับความเสียสละของประชาชน ทำให้กรุงวอร์ซอกลับมาเป็นเมืองเก่าในประวัติศาสตร์ที่สวยงามดังเดิม 
      ค่ำ บริการอาหารค่ำ                                                                                                                                          เข้าสู่ที่พัก โรงแรม  Radisson Blu Centrum  -  4* หรือเทียบเท่า
  • Day 9
    กรุงวอร์ซอ – เฮลซิงกิ
    • เช้า  บริการอาหารเช้า ณ ห้องอาหารของโรงแรม เช็คเอ้าท์
      นำท่านเริ่มต้นชมกรุงวอร์ซอ เดินทางไปยัง สวนสาธารณะเลเซ็นกิ (Lazienki RoyalPark) ชมอนุสาวรีย์ เฟรเดอริค โชแปง (Chopin's Monument) รูปปั้นของคีตกวีผู้มีชื่อเสียงระดับโลกที่ตั้งตระหง่านอยู่ใสวนสาธารณะ ซึ่งเป็นพื้นที่ส่วนหนึ่งของสวนในเขต พระราชวังเลเซ็นกิ (Lazienki Palace) พระราชวังแห่งนี้ได้เคยเป็นที่ประทับของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จประพาสกรุงวอร์ซอเมื่อปี ค.ศ.1897 ชม พระราชวังบนน้ำ (Palace on water) อาคารต่างๆ ในสวนแห่งนี้
      จากนั้นนำท่านไปชม พระราชวังวิลานูฟ (Wilanow Palace) หรือพระราชวังฤดูร้อนของกษัตริย์ยอนที่ 3 (Jan III Sobieski) ผู้ทรงครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ.1674-1696 ทรงบัญชาให้สร้างพระราชวังวิลานูฟขึ้น โดยสถาปนิกชาวอิตาลี ผู้สร้างได้รับแรงบันดาลใจจากพระราชวังแวร์ซายส์แห่งฝรั่งเศส ผู้ที่ทำให้พระราชวังวิลานูฟเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นในหมู่ศิลปินและประชาชนทั่วไปคือพระเจ้าสตานิสลอฟ โคสต์ก้า โปโตสกี้ (Stanislow Kostka Potoski) เจ้าของวังรุ่นต่อๆ มา ที่ได้เปิดส่วนหนึ่งของพระราชวังเป็นพิพิธภัณฑ์
      ศิลปะในปี ค.ศ.1805 พร้อมด้วยชิ้นงานศิลปะสะสม ทั้งภาพเขียนและ
      งานประติมากรรมที่บางส่วนรวบรวมจากของพระเจ้ายอนที่ 3 และ
      พระเจ้าสตานิสลอฟ ออกุสต์ โปเนียตอฟสกี้ กษัตริย์องค์สุดท้ายของโปแลนด์ 
      พระองค์เป็นกษัตริย์นักสะสมผู้โปรดงานศิลปะมากกว่าการสู้รบ ภาพเขียน
      ที่จัดแสดงภายในพระราชวังส่วนใหญ่จึงเป็นของสะสมของพระองค์เช่นกัน
      กลางวัน บริการอาหารกลางวัน 
      ช่วงบ่าย นำท่านนั่งรถผ่านชมจุดสำคัญๆ ของกรุงวอร์ซอ อาทิเช่น ถนน Nowy Swiat ซึ่งเป็นถนนที่สวยที่สุแห่งหนึ่งในกรุงวอร์ซอ หลังจากชมความสวยงามของอาคารแล้ว นำท่านเข้าสู่ถนนสายประวัติศาสตร์ Krakowskie Przedmiescie Street สายเดียวกับเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน สองข้างถนนประกอบไปด้วย โบสถ์เซ็นต์  แอนนา (St. Anna Church) สร้างด้วยสถาปัตยกรรมกอธิคในช่วงศตวรรษ  ที่ 16  มหาวิทยาลัยวอร์ซอ (University of Warsaw) มหาวิทยาลัยที่ใหญ่ที่สุดในกรุงวอร์ซอ และนอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของพระราชวังต่างๆ ตึกของรัฐบาล ร้านอาหาร ผับ บาร์ มีต้นไม่ร่มรื่นยืนต้นให้เห็นได้ทั่วไป  นำชม เมืองเก่าวอร์ซอ (Warsaw Old Town) ซึ่งประกอบไปด้วยปราสาทแบบกอธิคและอนุสาวรีย์ของกษัตริย์ซิกิซมันด์  ย่านประวัติศาสตร์ที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองและมีความโดดเด่นมากที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศโปแลนด์ 
      นำท่านไปยัง จตุรัสปราสาท (Castle Square) ซึ่งรูปร่างที่เราเห็นกันปัจจุบันเกิดขึ้นหลังจากทุบกำแพงเมืองในศตวรรษที่ 19 ตรงกลางเป็นอนุสาวรีย์กษตัริย์ซิกิซมันด์ที่ 3 ที่ทรงย้ายเมืองหลวงจากเมืองคราคูฟมาสู่กรุงวอร์ซอ เมื่อเดินขึ้นมาที่จัตุรัสจะเห็น พระราชวังหลวง (Royal Castle) ปราสาทสีแดงสดที่ดูใหม่เพราะเพิ่งถูกสร้างขึ้นมา เขตเมืองในแถบนี้โดนระเบิดจนแทบจะเหลือแต่ซาก ในการสร้างเมืองขึ้นมาใหม่นี้ชาวโปลได้ใช้ภาพกรุงวอร์ซอ 22 มุมมองโดยจิตรกรเอกชาวอิตาเลียน เบอร์นาโด คานาเล็ตโต เป็นต้นแบบในการบูรณะจนกลับมาเป็นเมืองหลวงที่สวยงาม ไม่ไกลกันนักจะเป็น วิหารเซ็นต์จอห์น (St.John Cathedral) หนึ่งในวิหารคาทอลิคที่เก่าแก่ที่สุดของกรุงวอร์ซอ ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 14  
      อิสระให้ท่านชม ย่านตลาดเก่า (Old Town Market Place) ย่านท่องเที่ยวที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความเก่าแก่ที่สุด โดยอาคารส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่ถูกสร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 13 ที่ย่านตลาดเก่านี้จะมีจัตุรัสที่มีรูปปั้นนางเงือกถือโล่ห์กับดาบ (Statue of the Mermaid) ซึ่งตามตำนานกล่าวว่าเดิมมีนางเงือก 2 ตัว เป็นพี่น้องกันว่ายน้ำเล่น ตัวหนึ่งว่ายไปที่เดนมาร์กส่วนอีกตัวว่ายมาที่โปแลนด์แล้วโดนชาวประมงจับได้ และถูกนำมาแสดงโชว์จนมีชายคนหนึ่งมาช่วยไว้ นางเงือกต้องการตอบแทนบุญคุณจึงสัญญาว่าจะออกมาช่วยปกป้องเมืองให้ปลอดภัย รูปปั้นนางเงือกนี้จึงเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของกรุงวอร์ซอ  หากไม่เหนื่อยจนเกินไป แนะนำให้ท่านเดินไปชมกลุ่มสิ่งก่อสร้างที่เป็นสถาปัตยกรรมจากยุคกลาง อาทิเช่น กำแพงเมืองเก่า (City Walls) ซึ่งยังคงหลงเหลืออยู่จนถึงปัจจุบัน ไม่ไกลจากกันจะเป็นที่ตั้งของ ป้อมวอร์ซอ (Warsaw Barbican) ด่านปราการรูปครึ่งวงกลมหรือป้อมปราการแห่งประวัติศาสตร์ที่ครั้งหนึ่งเคยล้อมรอบกรุงวอร์ซอเอาไว้ โดยตัวป้อมนี้ตั้งอยู่ระหว่างย่านเมืองเก่า (Old Town) และย่านเมืองใหม่ (New Town) ได้เวลาสมควรนำท่านเดินทางสู่สนามบิน
      19.25 น. ออกเดินทางสู่เฮลซิงกิ โดยสายการบินฟินน์แอร์ เที่ยวบินที่ AY 1146 (19.25-22.05)                                (ใช้เวลาบินประมาณ 1 ชั่วโมง 40 นาที)                                                                                               
      22.05 น. เดินทางถึงสนามบินเฮลซิงกิ รอเปลี่ยนเที่ยวบิน 
      23.55 น. ออกเดินทางกลับสู่กรุงเทพฯ โดยเที่ยวบินที่ AY 143 (23.55 – 14.00+1)  (ใช้เวลาบินประมาณ 10 ชั่วโมง)
  • Day 10
    กรุงเทพฯ (สนามบินสุวรรณภูมิ)
    • 14.00 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ พร้อมความประทับใจ

Top