เม็กซิโก-คิวบา
ทัวร์
อเมริกากลาง
ระยะเวลา
14 วัน
สายการบิน
วันเดินทาง
3-16 กุมภาพันธ์ 2563 / 2-15 มีนาคม 2563
Hilight

โกลบอล ฮอลิเดย์  ขอนำท่านทัวร์เม็กซิโกทัวร์เมืองมายาแห่งประเทศเม็กซิโก ชม 1 ใน  7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ได้รับการโหวตจากคนทั่วโลก ปิรามิด ชิเชน อิตซา ต่อด้วยการเยือนประเทศคิวบา เกาะใหญ่แห่งทะเลแคริบเบียน เยือนถิ่นฟิเดล คาสโตร และเยี่ยมชมสถานที่ต่างๆ ของ เช กูวารา นักปฏิวัติที่ใครๆ รู้จักดี ไปท่องเที่ยวเมืองมายาไปทัวร์เม็กซิโก ไปกับ....โกลบอล ฮอลิเดย์
“เม็กซิโก” เมื่อเกือบสามพันปีก่อน ดินแดนประเทศเม็กซิโกเป็นแหล่งอารยธรรมของชาวพื้นเมืองอเมริกันที่ยิ่งใหญ่หลายกลุ่ม เช่น โอลเมก เป็นกลุ่มที่มีวัฒนธรรมสมัยแรกเริ่มสุด ประมาณ 2,300 ปีก่อนคริสตกาล อยู่ทางภาคกลางของค่อนไปทางใต้ของเม็กซิโกปัจจุบัน มายา มีอำนาจอยู่ประมาณระหว่างปี ค.ศ. 200 ถึง ค.ศ. 900 ตั้งถิ่นฐานอยู่บนคาบสมุทรยูกาตันในนครรัฐที่ปกครองโดยกษัตริย์ มายามีอายุร่วมสมัยเดียวกับอารยธรรมเตโอตีอัวกัน หลังจากเมืองเตโอตีอัวกันเสื่อมอำนาจทางการเมืองลงไป พวกโตลเตกก็ขึ้นมามีอำนาจแทนในราวปี ค.ศ. 700 อิทธิพลของอารยธรรมโตลเตกพบได้ตั้งแต่ภาคใต้ของสหรัฐอเมริกาลงไปจนถึงคอสตาริกาในปัจจุบัน ผู้ปกครองโตลเตกที่มีชื่อเสียงคือ เกตซัลโกอัตล์ ภายหลังอารยธรรมโตลเตกก็ล่มสลายลงไปและสืบทอดต่อมาโดยพวกอัซเตกที่เรียกจักรวรรดิของตนเองว่า "เม็กซิกา" 
“คิวบา” เมื่อวันที่ 1 มกราคม 1959 มีเพียงพระราชินีอลิซาเบธของอังกฤษ
เท่านั้นทีเป็นประเทศแรกที่ให้การรับรองรัฐบาลคิวบาภายใต้การนำของนายฟิเดล คาสโตร
 แต่ต่อมาคาสโตรปฏิรูปเศรษฐกิจมาเป็นแบบสังคมนิยมและทำการไต่สวนผู้สนับสนุนนายบาติสต้าอย่างรวดเร็ว สร้างความไม่พอใจให้กับผู้นำสหรัฐฯ จนออกมาตรการคว่ำบาตรทางการค้าและตัดสัมพันธ์ทางการทูต ทำให้คาสโตรโต้ตอบด้วยการยึดทรัพย์สินและธุรกิจของชาวอเมริกันในคิวบาทั้งหมด และหันไปพึ่งความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจและการทหารจากสหภาพโซเวียตแทน วันที่ 16 เมษายน 1961 คาสโตรประกาศว่าการปฏิวัติของเขาเป็นสังคมนิยม วันรุ่งขึ้นทำการหยามหน้าสหรัฐฯ ด้วยการจับกุมตัวทหารคิวบาพลัดถิ่นภายใต้การหนุนหลังของสหรัฐฯ กว่า 1,100 นาย ที่พยายามบุกข้ามน้ำมาโค่นล้มคาสโตร ที่อ่าวเบย์ ออฟ พิก ขณะที่กองกำลังปฏิวัติคิวบาเปิดโรงเรียนใหม่ กว่า 10,000 แห่ง ขจัดการไม่รู้หนังสือ สร้างระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า คาสโตรสนับสนุนขบวนการปฏิวัติในอเมริกาใต้และแอฟริกา คิวบาเป็น 1 ใน 5 ประเทศคอมมิวนิสต์ที่ยังคงหลงเหลืออยู่ในโลก โดยอีก 4 ประเทศล้วนอยู่ในทวีปเอเชีย ประกอบด้วย จีน เวียดนาม ลาว และเกาหลีเหนือ

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    สนามบินสุวรรณภูมิ – นาริตะ – เม็กซิโกซิตี้
    • 06.00 น. พร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิ อาคารผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ สายการบินไทย (TG)
      08.00 น. ออกเดินทางสู่สนามบินนานาชาตินาริตะ ประเทศญี่ปุ่น โดยเที่ยวบินที่ TG676 (0800-1550)  (ใช้เวลาบิน 5.50 ชั่วโมง)
      15.50 น. ถึงสนามบินนานาชาตินาริตะ เปลี่ยนเครื่องเป็นสายการบินออลนิปปอนแอรเวย์ 
      16.40 น. All Nippon Airways เที่ยวบินที่ NH180 (1640-1355) ออกเดินทางสู่กรุงเม็กซิโกซิตี้  (ใช้เวลาบิน 14.50 ชม.)  
      13.55 น. เดินทางถึงสนามบินสนามบินนานาชาติกรุงเม็กซิโกซิตี้ ตามเวลาท้องถิ่น (กรุณาปรับนาฬิกาตามเวลาท้องถิ่น เพื่อการนัดหมายที่ถูกต้อง) นำท่านผ่านกองตรวจคนเข้าเมือง จากนั้นนำท่านเดินทางเข้าเมือง
      เช็คอินเข้าสู่ที่พัก  Historico Central Hotel 4* หรือเทียบเท่า --- (1)
      พักผ่อนกันก่อนหลังจากเดินทางไกล  
      เย็น ออกมาเดินเล่นย่านเมืองเก่า สัมผัสวิถีชีวิตคนท้องถิ่น ที่เป็นกลุ่มผสมผสาน ทั้งชนพื้นเมือง และลูกผสม
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร
  • Day 2
    เม็กซิโกซิตี้ (Mexico City)
    • 08.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
      09.00 น. นำท่านชม กรุงเม็กซิโกซิตี้ (Mexico City) เมืองหลวงและเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศเม็กซิโก ตั้งอยู่ในหุบเขาเม็กซิโกบริเวณกึ่งกลางประเทศ หุบเขาขนาดใหญ่ในที่ราบสูงเม็กซิโก ที่ระดับความสูง 2,240 เมตร (7,350 ฟุต) เหนือระดับน้ำทะเล เม็กซิโกซิตี้มีพื้นที่ประมาณ  1,499 ตารางกิโลเมตร หรือถ้ารวมบริเวณมหานครด้วยจะมีพื้นที่รวมประมาณ 4,979 ตารางกิโลเมตร มีประชากรประมาณ  21 ล้านคน หนาแน่นเป็นที่สามของโลกรองจากกรุงโตเกียวและกรุงโซล จัดเป็นเขตปกครองพิเศษ นอกเหนือจาก 31 รัฐในประเทศเม็กซิโก เม็กซิโกซิตี้เป็นศูนย์กลางทั้งด้าน การเมือง วัฒนธรรม การศึกษา และการเงิน ที่สำคัญที่สุดในประเทศ เมืองถูกสร้างขึ้นครั้งแรกบนเกาะของทะเลสาบเท็กซ์โคโค (Texcoco Lake) โดยชาวแอซเท็ก (Aztecs) โดยสร้างเป็นเมืองหลวงชื่อ เตนอชทิทลัน (Tenochtitlan) ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็นเมืองบนเกาะ (Lake City)  ในปี
       ค.ศ. 1325 และถูกทำลายเกือบหมดโดยการยึดของกองทัพสเปน ในปี ค.ศ. 
      1521 และต่อมามีการออกแบบและสร้างใหม่ตามมาตรฐานของเมืองสเปนในปี ค.ศ.
      1524 นำท่านชมด้านนอกซากเมืองโบราณเตนอชทิทลัน ที่ต่ำกว่าระดับพื้นที่ของเ
      ม็กซิโกซิตี้  หรือ Temple Mayorเมืองหลวงของอาณาจักร์แอซเท็ก ก่อนที่จะถูกสเปน
      ยึดครอง จากนั้นเดินชม ย่านเมืองเก่า (Centro Historico) ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ของเม็กซิโกซิตี้ ชม จัตุรัสโซคาโล (Zocalo or Plaza de la Constitucion) เป็นลานจัตุรัสกว้างที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกาและใหญ่เป็นอันดับสองของโลกรองจากกรุงมอสโกที่จัตุรัสแดง ซึ่งสามารถจุคนได้ถึงเกือบ 100,000 คน จัตุรัสแห่งนี้มีความสำคัญในทุกยุคทุกสมัย ในอดีตเคยถูกใช้เป็นตลาดโบราณ สถานที่ประกอบพิธีสำคัญๆทางศาสนา ปัจจุบันถูกใช้ในงานพิธีการต่างๆ รวมทั้งงานรื่นเริง บันเทิงต่างๆ นาๆ 
       
      จากนั้นนำท่านขับรถผ่านชมย่านโลมาส และ ชาปูเทเปค (Lomas – Chapultepec) หรือ Las Lomas เป็นชื่อสามัญของย่านที่อยู่อาศัยในเม็กซิโกซิตี้ เป็นย่านคฤหาสน์ใหญ่ที่คนร่ำรวยในประเทศเม็กซิโกพักอยู่อาศัย ตั้งอยู่ในแถบตะวันตกเฉียงเหนือของ เม็กซิโกซิตี้ มีทั้งพื้นที่การค้าและธุรกิจ และพื้นที่สวนสาธารณะในเมืองที่ใหญ่ที่สุดของเมืองหลวง ผ่านย่านโปลองโก้ (Polanco) เป็นย่านที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มั่งคั่ง โดยเฉพาะชาวยิวที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอดีต ย่านนี้จึงเต็มไปด้วย ร้านค้าสินค้าแบรนด์เนม สถานทูต ร้านอาหารหรู ไนท์คลับและโรงแรมชั้นดี  ย่านโซน่า โรซ่า (Zona Rosa) เป็นย่านธุรกิจแหล่งบันเทิงที่รู้จักกันอย่างกว้างขวางของนักท่องเที่ยวยามราตรีและชาวเกย์ 
      12.00 น. รับประทานอาหารกลางวัน
      นำชม พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติเม็กซิโก (Museo Nacional de Antropología – MNA) หรือพิพิธภัณฑ์แห่งชาติทางมานุษยวิทยา โดยอาคารพิพิธภัณฑ์จะแบ่งเป็นห้องๆตามยุคสมัยของประวัติศาสตร์ในช่วงต่างๆ โดยเก็บรวบรวมหลักฐานทางโบราณคดีและมานุษยวิทยาในรูปวัตถุโบราณต่างๆที่มีนัยสำคัญ อาทิเช่น ห้องแอซเท็กแสดง หินดวงอาทิตย์ (Piedra del Sol or Sun Stone) เป็นหินรูปทรงกลมขนาดใหญ่ เส้นผ่าศูนย์กลาง 3.6 เมตร หนักถึง 24 ตัน มีการแกะสลักรูปสุริยะเทพและธรณีเทพตรงกลางพร้อมสัญลักษณ์แทนวันตามปฏิทินของแอซเท็ก ห้องกอลฟ์ โคสต์ แกลลอรี่แสดง หินแกะสลักรูปศรีษะชาวโอลเมค (Olmec Head Stone) มีขนาดใหญ่มาก เชื่อว่าน่าจะเป็นรูปหน้าของคนสำคัญในยุคนั้น ห้องเตโอติฮัวกันแสดง หน้ากากครอบใบหน้าศพ (Funery Mask) เป็นวัตถุโบราณที่ล้ำค่า หน้ากากทำจากหินประดับประดาด้วยเปลือกหอย เทอร์ควอยส์ หยก และอัญมณีต่างๆ
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารท้องถิ่น
      พักผ่อนโรงแรม Historico Central Hotel 4*  หรือเทียบเท่า
  • Day 3
    เม็กซิโกซิตี้ – มรดกโลกเตโอติฮัวกัน (Teotihuacan) – ฮวนดาลูเป้
    • 08.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
      นำท่านเดินทางออกจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ ไปชมมรดกโลกเตโอติฮัวกัน หรือ Teotihuacan  หมายถึง เมืองแห่งปวงเทวา ตั้งอยู่ห่างจากกรุงเม็กซิโกซิตี้ไปทางตะวันออกเฉียงเหนือประมาณ 49 กิโลเมตร (ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชม.) 
      เมืองก่อตั้งขึ้นประมาณ ปี ค.ศ.200 เชื่อกันว่าเป็นสถานที่ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างขึ้น ด้วยเหตุนี้จึงมีผู้คนเดินทางมาจาริกแสวงบุญกันที่นี่ Teotihuacan เป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดในยุคนั้น คาดว่าอาจมีประชากรมากถึง 200,000 คน และมีอารยธรรมและวัฒนธรรมที่ซับซ้อน โบราณสถานที่ได้รับยกย่องให้เป็นมรดกโลกของประเทศเม็กซิโก ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 83 ตร.กม. เป็นโบราณสถานที่มีผู้เยี่ยมชมมากที่สุดในเม็กซิโก สร้างขึ้นยุคก่อนค้นพบอเมริกา (Pre – Columbian) โครงสร้างปิรามิดเชิงซ้อนที่มีขนาดใหญ่ ใช้เป็นที่ฝังศพ นอกจากนี้ ยังมีภาพจิตรกรรมฝาผนังที่เก็บรักษาไว้อย่างดี 
      ชมปิรามิดแห่งดวงอาทิตย์ The Pyramid of the Sun ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุด ถูกสร้างขึ้นในสองครั้ง ครั้งแรกก่อสร้างเมื่อประมาณ 100 ปีก่อนค.ศ. ซึ่งมีขนาดปิรามิดเกือบเท่าปัจจุบัน ครั้งที่สองสร้างชั้นบนที่ความสูง 225 เมตร ทำให้เป็นปิรามิดที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสามของโลก รองจากมหาปิรามิดแห่งกีซา (อียิปต์)  และชมปิรามิดแห่งดวงจันทร์ ซึ่งอยู่ทางทิศเหนือของกลุ่มโบราณสถานเตโอติฮัวกัน (ท่านสามารถปีนขึ้นไปด้านบนสุดของปิรามิดแห่งดวงอาทิตย์ สำหรับปิรามิดแห่งดวงจันทร์ ขึ้นไปได้แค่ฐานชั้นแรก) 
      Teotihuacan ไม่เพียงเป็นเมืองที่อนุสาวรีย์ แต่ยังเป็นสถานที่ที่ภาพจิตรกรรมฝาผนังช่วยให้ผู้เข้าชมได้รับทราบถึงตำนานของพระเจ้า และมนุษย์ เตโอติฮัวกันได้รับเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.1987
      เที่ยง รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารท้องถิ่น 
      จากนั้น นำท่านชมโบสถ์ Basilica de Guadalupe สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของชาวคริสต์นิกายโรมันแคทอลิค ที่สำคัญในประเทศแถบลาตินอเมริกา ซึ่งการสร้างโบสถ์เกิดขึ้นจากการปรากฏภาพนิมิตรแก่ชายชาวอินเดียนท้องถิ่นชื่อ Juan Diego ในปี ค.ศ.1531 โดยพระแม่มารีปรากฏกายให้เห็น และสร้างปาฏิหาริย์เกิดภาพบนเสื้อคลุมของ Juan Diego ซึ่งได้เรียกภาพพิมพ์นั้นว่า Virgin of Guadalupe นำท่านชมความงามของโบสถ์หลังใหม่ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1970 เพื่อรองรับผู้คนที่มาแสวงบุญกว่าแสนคนในแต่ละปี ช่วงเดือนธันวาคม และวันสำคัญคือวันที่ 12ธันวาคม ของทุกปี

      นำท่านเดินทางไปชม มหาวิทยาลัยเม็กซิโก (National Autonomous University of Mexico –UNAM)         ชมอาคารห้องสมุดกลางของมหาวิทยาลัยเม็กซิโก ที่ก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นสถานที่รวบรวมหนังสือกว่า 428,000 เล่ม และเก็บเอกสารอ้างอิงทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่ปี ค.ศ. 1450-1950 ผนังด้านนอกของอาคารห้องสมุด ถูกเขียนด้วยภาพจิตรกรรมฝาผนังต่างๆ โดย Diego Rivera ศิลปินจิตรกรเอกของเม็กซิโก ผนังด้านทิศเหนือ บอกเล่าเรื่องราวในอดีตช่วงก่อนยุคชาวสเปน (Pre – Hispanic) โดยแสดงถึงวัฒนธรรมดั้งเดิมของเม็กซิกัน ภาพแม่น้ำและชุมชนโดยรอบ มีสัญลักษณ์ที่แตกต่างกันเป็นตัวแทน ผนังด้านทิศใต้แสดงภาพในอดีตยุคอาณานิคม  ผนังด้านทิศตะวันออกแสดงภาพโลกปัจจุบัน  อาคารซึ่งเป็นเอกลักษณ์ทำให้สถานที่แห่งนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลก ในปี ค.ศ. 2007 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคารท้องถิ่น
      พักผ่อนโรงแรม Historico Central Hotel 4*  หรือเทียบเท่า
  • Day 4
    เม็กซิโกซิตี้ – เกเรตาโร
    • 08.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เช็คเอ้าท์
      จากนั้นเดินทางไปยังเมืองเกเรตาโร (Queretaro City) ระยะทางประมาณ 217 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2.40 ชม. 
      ชมเมืองเกเรตาโรที่ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1531 ท่ามกลางการต่อสู้นองเลือดระหว่างการพิชิตอินเดียพื้นเมืองกับชาวสเปน ภายใต้การคุ้มครองของอัครสาวกซานติอาโก มีความผสมทางวัฒนธรรมซึ่งกลายเป็นเมืองอาณานิคมที่ 3 ของศตวรรษที่ 18  ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมในปี ค.ศ. 1996  ในระยะ 460 ปีของประวัติศาสตร์ เมืองนี้จึงกลายเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจอีกแห่ง ที่มีความเจริญอย่างมาก ด้วยการสร้างผังเมืองที่ดี ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี แต่ยังคงรักษาอาคารสถาปัตยกรรมในยุคอาณานิคมไว้ได้อย่างดี 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคารท้องถิ่น 
      นำชม Church of San Francisco เป็นอาคารทางศาสนาครั้งแรกที่ถูกสร้างขึ้นราวปีค.ศ. 1540 ในเกเรตาโรและกลายเป็นศูนย์กลางที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาเมืองใหม่สเปน เคยเป็นที่อาศัยของนักบวชในการเผยแผ่ศาสนาในช่วงแรก ชมบริเวณ Zenea Garden, จัตตุรัสกลางเมือง และคลองส่งน้ำ Aqueduct ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของเมืองนี้  

      บ่าย อิสระช้อปปิ้ง 
      เย็น รับประทานอาหารค่ำที่ภัตตาคาร
      พักผ่อนที่โรงแรม Real de Minas Hotel  3* หรือเทียบเท่า
  • Day 5
    เกเรตาโร – ฮวนนาฮัวโต - ซานมิเกล
    • 08.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เช็คเอ้าท์
      ออกเดินทางต่อไปยังเมือง Guanajuato ระยะทางประมาณ 149 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.  
      ดั้งเดิมเป็นเมืองเล็กๆ ที่มีกลุ่มชนพื้นเมืองพวกออสโตเมียส อาศัยอยู่ จนเมื่อ Aztec ชนพื้นเมืองกลุ่มสุดท้ายก่อนสเปนเข้ายึดครอง และพบว่าเมืองนี้มีแร่ทองคำและเงินมาก จึงมีทำเหมืองและพัฒนาเส้นทางเพื่อขนถ่ายสินแร่ไปยังศูนย์กลางที่เม็กซิโกซิตี้  
      ชนชั้นผู้ปกครองชาวสเปนได้สร้างอาณาจักร (Hacienda) ซึ่งประกอบด้วยเหมืองแร่ และทำการเกษตรโดยมีทาสชาวพื้นเมืองเป็นแรงงานสำคัญ จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติในปี ค.ศ.1810  ถนนหนทางในปัจจุบันคือร่องรอยของความรุ่งเรืองในอดีต และเป็นทางระบายน้ำในฤดูน้ำหลาก  
      นำท่านชมโบสถ์ Atotonilco Sanctuary ตั้งอยู่ห่างจากซานมิเกล 14 กิโลเมตร ในเขต Guanajuato สร้างในศตวรรษที่ 18 โดยบาทหลวง หลุยส์ ฟิเลเนรี เดอ อัลเฟรโด (Father Luis Felipe Neri de Alfaro ที่มีภาพจิตรกรรมฝาผนังแบบเม็กซิกัน-บาร็อค เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ศูนย์กลางของชาวคริสต์เทียบเท่ากับกรุงเยรูซาเล็ม 
      จากนั้น เดินทางเข้าสู่ตัวเมืองฮวนนาฮัวโต
      นำท่านเดินชมจัตุรัสกลางเมือง  และ Kiss Alley ฟังตำนานรักคล้ายๆ 
      โรมิโอกับจูเลียส
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      จากนั้นเดินทางต่อไปยัง เมืองซานมิเกล เด อเยนเด : San Miguel de Allende (ระยทางประมาณ 149 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.) เมืองซานมิเกล เด อเยนเด หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า “ซานมิเกล” เป็นเมืองเล็กๆ ที่ฮิตติดลมบนที่สุดในกระบวน Central Highlands ของเม็กซิโก ที่ได้รับการจัดอันดับให้เป็นเมืองน่าเที่ยวอันดับ 4 ของโลกจากนิตยสาร Travel & Leisure ด้วย ความที่ซานมิเกลอากาศดีตลอดปี คนท้องถิ่นเป็นมิตร ค่าครองชีพไม่แพง ทำให้มีชาวอเมริกันและชาวเคเนเดี้ยนจำนวนหนึ่งย้ายถิ่นฐานมาอาศัยที่นี่ ประมาณการว่า 20% ของประชากรเมืองซานมิเกลเป็นชาวต่างชาติที่อพยพมาใช้ชีวิตในวัยเกษียณที่เมืองนี้ 
      ซาน มิเกล เดอ เอเยนเด (San Miguel de Allende) มีความเป็นมายาวนานกว่าห้าร้อยปี และถือเป็นเมืองแรกที่ประกาศอิสรภาพจากสเปน ต้นศตวรรษที่ 20 หลังสงครามยุติ เมืองนี้เกือบกลายเป็นเมืองร้าง ไร้ผู้คน ตั้งโดดเดี่ยวอยู่ในหุบเขาเซียร่า มาเดร (Sierra Madre) ก้อนกรวดใหญ่เกาะตัวยึดแน่น ก่อขึ้นเป็นถนนคดเคี้ยว และบ้านเรือนสีสดสองชั้นตั้งอยู่ตัดสลับกันไปมา องค์กรยูเนสโก้ได้ขึ้ทะเบียนให้เป็นเมืองมรดกโลก เพื่อรักษาเมืองอันแสนสงบและคงไว้ซึ่งเสน่ห์ของการผสมผสานสถาปัตยกรรม วัฒนธรรมแบบบารอค นีโอคลาสสิค และนีโอโกธิคเข้าด้วยกันให้สืบต่อไปชั่วลูกหลาน  ชมเมืองซาน มิเกล ศูนย์กลางประวัติศาสตร์ที่เต็มไปด้วยอาคารอนุรักษ์ไว้อย่างดีจากศตวรรษที่ 17 และ 18 ที่มีถนนลานหินแคบๆ  สถาปัตยกรรมและการตกแต่งในเมือง San Miguel de Allende
      เป็นแบบบาร็อค และ นีโอคลาสสิค จึงทำให้ซาน มิเกล เป็นเมืองที่สวยที่สุดใน
      เม็กซิโกจนได้รับขึ้นทะเบียนจากยูเนสโก้ให้เป็นมรดกโลกในปีค.ศ. 2008  ในอดีตเมือง
      นี้ถูกเรียกว่าเมืองร้าง หรือ Ghost Town เพราะเคยเกิดสงครามการสู้รบของชนพื้นเมืองและเจ้าอาณานิคมสเปนกลางเมือง ต่อมามีศิลปินชาวต่างชาติเข้ามาสำรวจและก่อตั้งสถาบันต่างๆ ขึ้นมา โดยเน้นไปทางศิลปะ เช่น Instituto Allende, Escuela de Bellas Arts เป็นต้น มีศิลปินชื่อดังทั้งนักเขียน นักวาดภาพ กวี มาอาศัยอยู่ที่ซานมิเกล จนทำให้ชื่อเมืองซานมิเกลเป็นที่รู้จักกันดี  ชื่อเมือง San Miguel de Allende เพราะเป็นสถานที่เกิดของ Ignacio Allende  เป็นผู้มีอิทธิพลที่ชาวเมืองให้ความศรัทธา และผู้ประกาศอิสรภาพจากสเปน  ชาวเมืองจึงเรียกท่านว่า Father Juan de San Miguel นำท่านเดินย่านจัตุรัสกลางเมืองที่เรียกว่า จาร์ดีน  (Jardin) ภาษาสแปนิช ที่แปลว่าสวนทางใต้ของจาร์ดีนคือโบสถ์ประจำเขตแพริช หรือโบสถ์ประจำท้องถิ่น หินสีชมพู ลา พาร็อคเกีย เดอ ซาน มิเกล (La Parroquia de San Miguel Arcángel) ที่ตั้งตระหง่าน อยู่กลางเมืองบนพลาซ่า พรินซิเพิล (Plaza Principal) โบสถ์นี้ถูกสร้างขึ้นในศตวรรษที่ 17 โดยหน้าโบสถ์เป็นสถาปัตยกรรม แบบนีโอโกธิค และตัวโบสถ์เป็นแบบบาโรค โบสถ์แห่งนี้เป็นหัวใจและสัญลักษณ์ของเมืองเลยก็ว่าได้ สร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้กับเซนต์ ไมเคิล เดอะ อาร์ชานเกล (Saint Michael, The Archangel)ประทับ เทพเจ้าองค์นี้คือผู้นำทัพธรรมะเพื่อไปปราบเหล่าอธรรมซาตานในนรกภูมิ ในซาน มิเกลไม่มีอาสนวิหารหรือมหาวิหาร (Cathedral) มีเพียงแค่โบสถ์ ที่เรียกว่า ‘ลา พาร็อคเกีย’ (La Parroquia) ถัดออกไปตรงมุมด้านตะวันตกเฉียงใต้ของจาร์ดีนคือบ้านสองชั้นสไตล์บาโรค-โคโลเนียลของนายพลอิงนาซิโอ เอเยนเด (General Ignacio Allende) มหาวีรบุรุษโต้โผใหญ่ในสงครามปลดปล่อยชาวเม็กซิกันให้เป็นอิสระจากสเปน ซึ่งปัจจุบันกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ซานมิเกล เดอ เอเยนเด (Museo Histórico de San Miguel de Allende) และไม่ไกลกันนักตรงหัวมุมตึก คุณจะเห็นอนุสาวรีย์ของวีรบุรุษท่านนี้ และมีข้อความเขียนไว้ว่า ‘Hic Natus Ubique Notus’ ซึ่งแปลว่า ‘เกิดที่นี่ รู้ดีทั่วทุกย่าน’ และเมืองนี้ตั้งตามชื่อเขานั่นเอง
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      พักผ่อนที่โรงแรม  Monte Verde Express (boutique hotel) 3*+ หรือเทียบเท่า  
      http://hotelmonteverde.com.mx/

  • Day 6
    ซานมิเกล – เม็กซิโกซิตี้ – แคนคูน
    • 08.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม เช็คเอ้าท์
      นำท่านอิสระยามเช้าในเมืองซานมิเกล

      เดินทางกลับมากรุงเม็กซิโกซิตี้ ใช้เวลาเดินทางประมาณ 3.30 ชม. นำท่านเดินทางสู่สนามบิน
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      15.20 น.  ออกเดินทางสู่เมืองแคนคูนโดยเที่ยวบินที่ AM581 (15.20-18.41)
      18.41 น. เดินทางถึงเมืองแคนคูน นำท่านเดินทางเข้าสู่ที่พัก 
      เมืองแคนคูนตั้งอยู่ปลายสุดของคาบสมุทรยูคาตัน ในอดีตเป็นเพียงหมู่บ้านชาวประมงเล็กๆ แต่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการตั้งถิ่นฐานของนักธุรกิจที่จะลงทุนสร้างโรงแรมและการบริการต่างๆ จนทำให้แคนคูนกลายเป็นเมืองท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงในการพักผ่อนของนักท่องเที่ยวทั่วโลกในปัจจุบัน
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำที่โรงแรม
      โรงแรม IBEROSTART CANCUN 5* หรือเทียบเท่า
  • Day 7
    แคนคูน (Cancun) - ชิเชน อิตซา (Chichen-Itza)
    • 07.00 น. รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
      นำท่านเดินทางโดยรถสู่ ชิเชนอิตซา ระยะทางประมาณ 197 กม. ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม. ชิเชนอิตซา เป็นแหล่งโบราณคดีขนาดใหญ่ที่สร้างขึ้นโดยชาวมายาในเขตวัฒนธรรมเมโสอเมริกัน ตั้งอยู่ในคาบสมุทรยูคาตัน รัฐยูคาตัน ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของประเทศเม็กซิโก 
      ชิเชนอิตซาเป็นส่วนหนึ่งของเมืองจำนวนมากมายซึ่งพวกมายาได้สร้างขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ของเทพเจ้าผู้ทรงกระหายพระโลหิต ลักษณะโดยทั่วไปของชิเชนอิตซา ทำเป็นรูปเหลี่ยมลดขั้นเป็นชั้นๆ บนเนื้อที่ราว 6.4 ตารางกิโลเมตร มีบันไดกลาง วิหารที่ใหญ่สุดมีชื่อว่า วิหารแห่งนักรบ สร้างขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 12 หลังจากสร้างวิหารเก่าแห่งชักโมล ตรงกลางสร้างเป็นปราสาทเหลี่ยมทึบสูงขึ้นไป ใช้เป็นที่ทำพิธีสังเวยเทพเจ้าโดยใช้เด็กสาวโยนลงไปถวายเทพเจ้า ณ ที่นั้น รอบ ๆ ห่างออกมาทำเป็นบริเวณตลาดทำนองเดียวกับสถานสถิตยุติธรรมของพวกโรมัน ซึ่งอยู่กลางเมืองที่สาธารณะและเป็นที่รวมของฝูงชน...ชนเผ่ามายาแห่งเม็กซิโกสืบสายมาจากคนพวกแรกที่เดินทางจากทวีปเอเชียเข้ามายังทวีปอเมริกาทางช่องแคบเบริง ได้มีการพัฒนาทางวัฒนธรรมทั้งในด้านเหี้ยมโหดอันป่าเถื่อนและความมีสติปัญญาอันสูงส่ง ในขณะเดียวกัน พวกมายาฝึกความเสียสละด้านมนุษยชาติ ควักหัวใจผู้ที่รับการบูชาออกสังเวยพระเจ้า ขณะเดียวกันก็มีการพัฒนาความรู้ด้านดาราศาสตร์ ศิลปะของสถาปัตยกรรม ทางอักษรศาสตร์ ด้านการเขียนบันทึกด้วยตัวอักษรพิเศษ และการค้นพบค่าของเลข 0 ทางคณิตศาสตร์ แต่ก็น่าแปลกที่พวกเขามิได้ค้นพบประโยชน์อันเกิดจากล้อเลื่อน ศูนย์กลางของอารยธรรมของคนพวกนี้อยู่ที่ชิเชนอิตซา ในคาบสมุทรยูคาตัน ผู้ค้นพบขุมอารยธรรมเหล่านี้แล้วนำออกมาเผยแพร่ให้ชาวโลกได้ทราบคือ นายทอมป์สัน ชาวอเมริกัน ผู้ใช้ชีวิตซอกซอนท่องเที่ยวไปในหมู่พวกมายาด้วยความสนใจจะศึกษาสิ่งลึกลับต่าง ๆ บางทีอาจกล่าวได้ว่าพวกมายาจะเป็นต้นตำรับของพวกบูชาความสงบที่ต้องการศาสนารุนแรง นองเลือด หลังจากที่เคยพ่ายแพ้พวกชนเผ่าตอลเต็ก ซึ่งอยู่ตอนกลางของเม็กซิโก ในท้ายที่สุด พวกมายาก็ตกอยู่ใต้อำนาจของผู้ที่นิยมความรุนแรงที่เหนือกว่า ในเมื่อผู้ชนะที่กระหายเลือด โลภที่จะได้ทองและทรัพย์สมบัติของพวกมายาอย่างเต็มที่
      7 กรกฎาคม พ.ศ. 2550 ชิเชนอิตซารับเลือกให้เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่ 
      ได้เวลาพอสมควรเดินทางสู่เมืองแคนคูน 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      พักผ่อนตามอัธยาศัย เชิญทำกิจกรรมต่างๆ 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำและพักผ่อนที่โรงแรม  IBEROSTART CANCUN 5* หรือเทียบเท่า
  • Day 8
    แคนคูน (เม็กซิโก) – ฮาวานา (ประเทศคิวบา)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้า
      09.00 น. เช็คเอ้าท์ จากนั้นเดินทางสู่สนามบิน 
      11.58 น. ออกเดินทางจากเมืองแคนคูนสู่เมืองฮาวาน่า ประเทศคิวบา โดยสายการบินแอร์โร่เม็กซิโก เที่ยวบินที่ AM447 (11.58-13.15) ใช้เวลาบิน 1.17 ชม.
      13.15 น. เดินทางถึงสนามบินนานาชาติ Jose Marti airport กรุงฮาวานา ประเทศคิวบา ผ่านการตรวจคนเข้าเมืองแล้ว
      นำท่านเช็คอินเข้าที่พัก รับประทานอาหารกลางวัน
      16.00 น. นำท่านนั่งรถ Coco Taxi ชมรอบเมืองฮาวาน่า ก่อนไปเดินชมอีกครั้งในวันพรุ่งนี้  
      21.00 น.   หลังจากนั้นเชิญท่านท่องราตรีแห่งสีสันของคิวบา ชมคณะคาบาเร่ต์ชื่อดังที่ ผับ Tropicana 
      พักผ่อนที่โรงแรม NH CAPRI HOTEL 4* เมืองฮาวานา   หรือ เทียบเท่า
  • Day 9
    ฮาวานา
    • เช้า รับประทานอาหารเช้า
      นำท่านชมเมืองหลวงของประเทศคิวบา 
      คิวบา มีชื่อทางการคือ สาธารณรัฐคิวบา (Republic of Cuba) ประกอบด้วยเกาะคิวบา (เป็นเกาะที่ใหญ่ที่สุดในหมู่เกาะแอนทิลลิสใหญ่) เกาะยูท (Isle of Youth) และเกาะเล็ก ๆ ใกล้เคียง ตั้งอยู่ในภูมิภาคแคริบเบียนเหนือ ที่จุดบรรจบของทะเลแคริบเบียน อ่าวเม็กซิโก และมหาสมุทรแอตแลนติก คิวบาตั้งอยู่ทางทิศใต้ของสหรัฐอเมริกาภาคตะวันออกและหมู่เกาะบาฮามาส ทางทิศตะวันตกของเกาะเติร์กและหมู่เกาะเคคอสและประเทศเฮติ ทางทิศตะวันออกของเม็กซิโก และทางทิศเหนือของหมู่เกาะเคย์แมนและเกาะจาไมกา สาธารณรัฐคิวบาเป็นเพียงประเทศเดียวในบริเวณภูมิภาคนี้ที่ยังคงมีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์อยู่
      นำชมเขตเมืองเก่า ฮาวานา (Old Havana) ที่ล้อมรอบไปด้วยบรรยากาศสุดคลาสสิก ของ  ตึกรามบ้านช่องในยุคโคโลเนียล  เข้าชม Capitolio อาคารรูปโดมสูง อดีตใช้เป็นที่ทำการรัฐสภา  และเป็นอาคารทรงโดมสูงที่สร้างคล้ายคลึงกับอาคาร รัฐสภาในกรุงวอชิงตันดีซี สหรัฐอเมริกา จากนั้นนำท่านตระเวนย่านเมืองเก่าบนถนนคนเดิน Obispo Street สองฝากฝั่งเป็นอาคารโบราณยุค โคโลเนียล ที่คลาคล่ำไปด้วยนักท่องเที่ยว  
      แล้วเดินทางผ่านสู่ Cathedral Square  ถ่ายภาพกับโบสถ์โบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางจัตุรัสอันศักดิ์สิทธิ์ 
      จากนั้นเลาะเลียบเดินทางต่อไปยัง Plaza De Armas จัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของ
      เมืองเก่าที่เคยถูกใช้เป็นสถานที่รวมพลทหาร ชมปราสาทเก่าแก่ที่สร้างเป็นป้อม
      ปราการแข็งแรง ไว้คอยป้องกันการรุกรานจากโจรสลัด แล้วเดินทางผ่านถนน 
      Merchant Street ที่เป็นสถานที่ตั้งของบริษัทต่างชาติต่างๆ ที่เข้ามาทำการค้าขายที่คิวบา  จนถึง จัตุรัส San Francisco Square สถานที่ที่เคยพลุกพล่านไปด้วยเหล่าบรรดาพ่อค้าที่เดินทางมาทำการค้าขายแลกเปลี่ยนกันบริเวณนี้ และยังเคยใช้เป็นที่กักเก็บสินค้าที่ส่งมาค้าขายทางเรืออีกด้วย 
      เมืองเก่าฮาวานาได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1982
      เที่ยง   รับประทานอาหารกลางวัน ณ ภัตตาคาร 
      นำท่านเดินทางข้ามอ่าวฮาวานา ไปชม Casa Blanaca (Statue of  Jesus Christ) ถ่ายภาพกับรูปปั้นของพระเยซูคริสต์ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเนินเขา ที่มองเห็นได้แต่ไกล   จากนั้นชม ป้อมเซนต์ชาร์ลส์ หรือ เรียกขานว่า La Cabaña เป็นป้อมปราการสร้างในศตวรรษที่ 18 ซึ่งมีขนาดใหญ่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของท่าจอดเรือในคิวบาเหนือยอดเขาที่สูง 200 ฟุต (60 เมตร) พร้อมด้วยปราสาทมอร์โร (ป้อมปราการ หลังการยึดครองของฮาวานาโดยกองกำลังอังกฤษในปี ค.ศ. 1762 ด้วยความตระหนักความกลัวต่อการโจมตีต่อไปในยุคอาณานิคมของอังกฤษในสงครามเจ็ดปี ต่อมาสเปนสร้างป้อมปราการใหม่เพื่อปรับปรุงการป้องกันทางบกของคิวบาและแล้วเสร็จ ในปี ค.ศ. 1774 ในอีกสองร้อยปีป้อมปราการนี้เป็นฐานสำหรับทั้งสเปนและต่อมาคิวบา – ลาคาบานาถูกใช้เป็นคุกทรมานฟิเดลคาสโตรและน้องชายของราอูล โดยรัฐบาลของเผด็จการบาติสตา  หลังจากกองกำลังฟิเดล คาสโตรและเช กูวาร่า ได้รับชัยชนะจากการก่อการปฏิวัติ  Che Guevara ได้ใช้ป้อมเป็นที่ตั้งสำนักงานใหญ่และเป็นเรือนจำขังทหารเป็นเวลาหลายเดือน ระหว่างการดำรงตำแหน่ง 5 เดือนของเขา  (2 มกราคมถึง 12 มิถุนายน 1959) ชมพิพิธภัณฑ์เรื่องราวและของใช้ส่วนตัวของเช กูวาร่า  
      เย็นๆ  นำท่านไปยังโรงแรม National เพื่อลิ้มลองเครื่องดื่ม Mohito ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง พร้อมชมสถานที่ประวัติศาสตร์ของโรงแรม ได้เวลาพอสมควรนำท่านกลับโรงแรมที่พัก 
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      พักผ่อนที่โรงแรม NH CAPRI HOTEL 4* เมืองฮาวานา
  • Day 10
    ฮาวานา–ซานตาคลาร่า - เซียนโฟยโกส - ตรินิแดด(Trinidad)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
      09.00 นำท่านออกเดินทางโดยรถโค้ชปรับอากาศไปยังเมืองซานตาคลาร่า สถานที่เช เกบาร่า (Che Guevara) วีรบุรุษ นักต่อสู้เพื่ออุดมคติใช้เป็นที่ฉลองชัยชนะในการปฏิรูปการปกครองในคิวบา  เข้าชมพิพิธภัณฑ์ของ Che Guevara ที่ได้เก็บของใช้ส่วนตัวต่างๆ ของเขาไว้ เช่น กระเป๋าใสปืน กล้องส่องทางไกลและวิทยุ ใกล้ๆกันเป็นถ้ำที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นสุสานของ เช เกบารา มีไฟชั่ว  นิรันดร์  (Internal Flame) จุดอยู่ตรงกลาง  เช เกบารา หรือ เอร์เนสโต เกบารา (สเปน: Ernesto Guevara)  (14 มิถุนายน พ.ศ. 2471 - 9 ตุลาคม พ.ศ. 2510) นักปฏิวัติแนวมาร์กซิสต์ชาวอาร์เจนตินา และเป็นหนึ่งในสมาชิกของกลุ่ม 26 กรกฎาคมของฟิเดล คาสโตร ซึ่งเป็นกลุ่มที่ปฏิวัติประเทศคิวบาเมื่อปี พ.ศ. 2502 (ค.ศ. 1959) เช เกิดที่ประเทศอาร์เจนตินาเมื่อวันที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2471 (ค.ศ. 1928) ในคริสต์ศตวรรษที่ 20 เหล่าชาวโลกต่างรู้จักชายคนนี้ในฐานะนักปฏิวัติ และยังถูกขนานนามว่าชายผู้สมบูรณ์แบบที่สุดในโลกในศตวรรษนั้นด้วย
      เชเติบโตในครอบครัวที่มั่งมี เขาเรียนจบมหาวิทยาลัยในสาขาแพทยศาสตร์ในปี
       พ.ศ. 2494 (ค.ศ. 1951) หลังจาก พิธีรับปริญญาเพียง 25 วัน เชเดินทางกับเพื่อน
      นามว่าอัลเบร์โต กรานาโด ด้วยมอเตอร์ไซค์ไปทั่วอเมริกาใต้ และชายคนนี้ก็ได้พบกับความจริงของโลก ได้พบความยากจนข้นแค้นของประชาชน และเป็นจุดกำเนิดของวีรบุรุษแห่งปวงประชาชาวอเมริกาใต้จวบจนถึงปัจจุบัน
      เชละทิ้งฐานันดรและครอบครัวของตนเองไว้ที่เม็กซิโก แล้วมุ่งสู่เกาะคิวบาเพื่อหวังจะล้มล้างระบอบการปกครองเผด็จการของฟุลเคนซีโอ บาซิสตา สร้างกลุ่มกำลังของตนเองเพื่อหวังจะทำการปฏิวัติในคิวบา หลังจากปฏิวัติสำเร็จในคิวบา เชได้ออกจากคิวบาในปี พ.ศ. 2508 โดยมีจุดมุ่งหมายที่จะให้ประเทศอื่นเพื่อก่อให้เกิดความเคลื่อนไหวทางการเมืองอีก เช่น สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และประเทศโบลิเวีย ซึ่งที่โบลิเวียนี้ เขาถูกจับได้โดยกองทัพโบลิเวียซึ่งมีหน่วยสืบราชการลับกลาง (ซีไอเอ) ของสหรัฐอเมริกาสนับสนุนอยู่ และถูกสังหารทันทีหลังจากที่ถูกจับตัวได้ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2510 (ค.ศ. 1967) ในวันสุดท้ายของชีวิตของเช ทหารโบลิเวียกำลังจะประหารชีวิตเขา        เชได้ทิ้งประโยคสุดท้ายของชิวิตเขาไว้ว่า
      “ยิงฉันเลย...ฉันมันก็แค่ผู้ชายธรรมดาคนหนึ่ง”
      แต่การตายของชายธรรมดาในวันนั้น มีความหมายอย่างยิ่งยวดกับการเมืองของโลก เหล่านักศึกษา หนุ่มสาวทั่วโลกต่างรับรู้และยกย่องการกระทำที่กล้าหาญของเขา ภายหลังการตายของผู้ชายคนหนึ่ง เกิดการปฏิวัติในฝรั่งเศส รวมถึงการเดินประท้วงเรียกร้องอิสรภาพของประเทศเวียดนาม เหล่าวัยรุ่นในประเทศเวียดนาม นำรูปของเชมาใช้ในการเดินขบวน และจนถึงทุกวันนี้ ชายคนนี้ก็ยังเป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติ
      เช เกบารา ได้เป็นสัญลักษณ์ของการปฏิวัติและการเคลื่อนไหวทางการเมือง โดยภาพถ่ายที่มีชื่อเสียงของเช คือ ภาพใบหน้าที่ถ่ายโดยอัลเบร์โต กอร์ดา (Alberto Korda) เมื่อ พ.ศ. 2503 (ค.ศ. 1960) ใบหน้าของเชรูปนี้ จนถึงปัจจุบันก็ยังปรากฏอยู่ตามเสื้อยืดทั่วโลก รวมทั้งรูปสติกเกอร์ที่ติดบนรถบรรทุกในประเทศไทย เช เกบารา ได้รู้จักในชื่อเล่นว่า "เช" และนิยมใช้ชื่อนี้ ซึ่งในอาร์เจนตินามีความหมายถึง "เพื่อน, สหาย"  ชมพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง “Tren Blindado” สถานที่จริงที่เช และพรรคพวกได้ยึดขบวนรถไฟที่ขนอาวุธของกองกำลังทหารบาติสต้า เพื่อมาปราบปรามกองปฏิวัติได้สำเร็จ และเป็นชัยชนะของกองกำลังปฏิวัติในเวลาต่อมา
      จากนั้นเดินทางต่อไปยังเมืองเซียนโฟยโกส 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร
      บ่าย นำท่านชมเมือง เซียนโฟยโกส ซึ่งชื่อเมืองเป็นชื่อของนายพลชาวสเปน Jose Cienfuegos ซึ่งเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดในสมัยนั้น เมืองอาณานิคมของสเปน Cienfuegos ก่อตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1819 ช่วงแรกโดยผู้อพยพที่มาจากสเปนและฝรั่งเศส เมืองแห่งนี้เป็นสถานที่ทำการค้าน้ำตาล อ้อย ยาสูบและเครื่องชงกาแฟ ตั้งอยู่บนชายฝั่งทะเลแคริบเบียนของภาคกลางตอนใต้กลางคิวบา พื้นที่ที่เหมาะแก่การปลูกยาสูบและการผลิตกาแฟ เมืองจึงถูกพัฒนาในแบบ neoclassical  สถาปัตยกรรมที่นี่จึงเป็นต้นแบบของการพัฒนาเมืองต่างๆ ของประเทศในแถบในลาตินอเมริกา ที่เน้นเรื่องความทันสมัย สะอาด และการวางผังเมืองที่ดี เมืองเซียนโฟยโกสได้รับเลือกให้เป็นมรดกโลกในปี ค.ศ.2005 
      เที่ยวชมรอบเมืองเซียนโฟยโกส  ที่ได้รับฉายา เมืองแห่งมุกเม็ดงามตอนใต้  ชมจัตุรัสกลาง  เมือง Jose Marti Park ล้อมรอบไปด้วยตึกเก่าแก่ที่รักษา
      ไว้อย่างดี  อาคารที่ทำการรัฐบาล City Hall, San Lorenzo, เดินเล่นชมความ
      ร่มรื่นของถนนริมทางเดินทะเล MaleconPromenade  ชมอาคารที่ตกแต่งแบบโกธิค
       ผสมอาหรับและสเปน ที่เคย ถูกใช้เป็นสถานที่เล่นคาสิโน ในสมัยเผด็จการบาติสต้าครองอำนาจ Palacio Valle, และชมโรงละครเก่าแก่ที่มีชื่อเสียงที่สุดแห่งหนึ่งในคิวบา Thomas Terry Theater   
      จากนั้นเดินทางต่อไปเมืองตรินิแดด
      ค่ำ รับประทานอาหารค่ำ
      พักผ่อนที่โรงแรม BRISAS TRINIDAD DEL MAR 3* ในเมืองตรินิแดด หรือเทียบเท่า
  • Day 11
    ตรินิแดด – ดินแดนแห่งน้ำตาล เมืองโบราณค้าทาส
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
      นำชมเมืองตรินิแดดซึ่งเป็นเมืองที่มีการอนุรักษ์สิ่งก่อสร้างของอาคารบ้านเรือนในสมัย โคโลเนียล ของสเปน ไว้อย่างสมบูรณ์ จนได้รับการประกาศขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกทางด้านสถาปัตยกรรมจาก UNESCO ในปี ค.ศ.1988 เที่ยวชมรอบๆ จัตุรัสเมือง ที่ล้อมรอบไปด้วยบ้านสีสันสวยงามต่างๆ   แวะจิบเครื่องดื่ม คานซานซาร่า ที่ให้ความสดชื่นแก้กระหายได้ดี ที่มินิบาร์ คานซานซาร่า ชื่อเดียวกับเครื่องดื่ม ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ในสมัยศตวรรษที่ 18   สมควรแก่เวลาเดินทางต่อไปชมดินแดนแห่งน้ำตาลที่ Sugar Mills Valley ที่นี่โดยรอบประกอบด้วย 3 หุบเขา San Luis, Santa Rosa and Meyer 
      นำชมหอคอย Manacas Iznaga Tower สร้างในสมัยศตวรรษที่ 18 ที่แห่งนี้เคยเป็นแหล่งอุสาหกรรมผลิตน้ำตาลที่สำคัญของคิวบา เศรษฐีเจ้าของนามว่า มานาคัส อิซนากา (Manacas Iznaga) ได้สร้างหอคอยสูงเพื่อไว้คอยควบคุมและดูทาสที่มาจากแอฟริกามาทำงานในไร่อ้อยของเขากว่า 30,000 คน  Manacas Iznaga Tower ถือเป็นอนุเสาวรีย์สำหรับความทรงจำทางประวัติศาสตร์ที่น่าเศร้าจากการเป็นทาสในไร่อ้อย ที่แห่งนี้จึงถูกประกาศให้เป็นมรดกโลกร่วมกับเมืองตรินิแดดในปี 1988 
       
      เที่ยง   รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร 
      บ่าย อิสระยามบ่าย เดินชมเมือง ฟังเพลงพื้นเมือง ที่เล่นกันทั่วไป และช้อปปิ้งตามอัธยาศัย  
      พักผ่อนที่โรงแรม BRISAS TRINIDAD DEL MAR 3* ในเมืองตรินิแดด หรือเทียบเท่า
  • Day 12
    ตรินิแดด - ฮาวานา - สนามบิน - เม็กซิโกซิตี้
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าที่โรงแรม
      เดินทางกลับมายังฮาวาน่า ใช้เวลาเดินทางประมาณ 4 ชม. 
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวันที่ภัตตาคาร 
      จากนั้นเดินทางสู่สนามบิน 
      15.10 น. อำลาคิวบา เดินทางไปขึ้นเครื่องที่เม็กซิโกซิตี้ โดยเที่ยวบินที่ AM452 (1510-1720)  
      17.33 น. เดินทางถึงสนามบินกรุงเม็กซิโกซิตี้  รอเช็คอินสายการบินออลนิปปอน แอร์เวย์ (NH)  
  • Day 13
    เม็กซิโก ซิตี้ – สนามบินนาริตะ
    • 01.00 น. สายการบิน All Nippon Airways เที่ยวบินที่ NH179 (0100-0635+1) ออกเดินทางสู่สนามบินนาริตะ
      ใช้เวลาบิน 14.35 ชม. บินข้ามเส้นแบ่งเวลา
  • Day 14
    เม็กซิโก ซิตี้ – สนามบินนาริตะ - สนามบินสุวรรณภูมิ
    • 06.35 น. เดินทางถึงสนามบินนาริตะ  จากนั้นเปลี่ยนเครื่องบิน เดินทางกลับประเทศไทย โดยสายการบินไทย 
      09.45 น. เดินทางสู่ประเทศไทยด้วย เที่ยวบินที่ TG641 (0945-1515)
      15.15 น. เดินทางถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
Top